บทความให้กำลังใจ(เสียน้อยเสียยาก)

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 8 พฤษภาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,307
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,085
    หัวโขน
    ภาวัน

    ตอนที่เขาตัดสินใจออกนิตยสารฉบับใหม่ วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์ หาใช่มือใหม่ในวงการหนังสือไม่ เขามีชื่อเสียงมาก่อนแล้วจากการเป็นบรรณาธิการนิตยสารชั้นนำเช่น Trendy Man และ IMAGE แต่นั่นมิใช่หนังสือในฝันของเขา เขาอยากมีอิสระทำนิตยสารอย่างที่ใจรัก โดยไม่อยู่ในอาณัติของนายทุน เขากับเพื่อนจึงลงขันทำนิตยสารที่ตั้งใจว่าไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร

    เขาสร้างนิตยสาร a day โดยเริ่มต้นจากศูนย์ เขาจึงต้องนับหนึ่งในทุกเรื่อง รวมทั้งออกไปขายโฆษณาด้วยตนเอง เขามั่นใจว่านิตยสารของเขาจะได้รับความสนใจจากวงการโฆษณา อย่างน้อยเขาก็ไม่ใช่วัยละอ่อนในวงการ แต่แล้วเขาก็ได้บทเรียนที่สำคัญ

    วันนั้นเขาเข้าไปที่บริษัทเอเจนซี่โฆษณาตามเวลาที่นัดหมาย เมื่อไปถึงแทนที่พนักงานบริษัทจะให้เขาขึ้นไปพบกับผู้วางแผนโฆษณา กลับก็ให้เขานั่งรอที่ห้องล็อบบี้ ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง พนักงานบริษัทก็ลงมาบอกกับเขาอย่างห้วน ๆ ว่าวันนี้เจ้านายไม่ว่าง ขอเลื่อนนัดไปวันหลัง ทันทีที่ได้ยิน ความรู้สึกในตอนนั้นของเขาคือ “เสียใจ เจ็บ บอบช้ำ...รู้สึกด้อยค่ามากเลย”

    เขาไม่คิดมาก่อนว่าจะถูกปฏิเสธอย่างนั้น เพราะตอนที่เขาเป็นบก.นิตยสารชื่อดังนั้น ใคร ๆ ก็เกรงใจเขา ปีใหม่ก็มีคนเอากระเช้าของขวัญมาให้มากมาย แต่ทันทีที่เขามาเป็นบก.นิตยสารออกใหม่ที่ไม่มีใครรู้จัก เขาก็กลายเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง ที่ไม่มีใครให้ความสนใจ เป็นความเจ็บปวดมิใช่น้อยที่เขาพบว่า“ผมแม่งก็แค่ nobody คนหนึ่ง”

    หลังจากความขุ่นเคืองจางคลาย เขาก็ได้คิดว่า ปัญหาอยู่ที่เขาประเมินค่าตัวเองสูงเกินไป การถูกเมินเฉยทำให้เขาเห็นตัวเองอย่างที่เป็นจริง เขาพูดถึงประสบการณ์ครั้งนั้นว่า “มันคือการกลับไปสู่ตัวตนของเราจริง ๆ นั่นคือเราไม่ได้เป็นใครที่สำคัญเลย”

    การเป็นบก.นิตยสารชั้นนำทำให้เขาหลงคิดว่าตัวเองเป็นคนสำคัญ เพราะใคร ๆ ก็เข้าหา แต่ในที่สุดเขาก็รู้ว่านั่นเป็นเพราะหัวโขนที่เขาสวมต่างหาก ทันทีที่ถอดหัวโขน ผู้คนก็ไม่สนใจเขาอีกต่อไป จนกว่าเขาจะมีหัวโขนใหม่ที่ดูดีไม่น้อยกว่าเดิม

    บนเวที แม้นว่าพระรามหรือทศกัณฐ์ จะมีฤทธานุภาพสร้างความตื่นตะลึงแก่ผู้ชมมากมายเพียงใด ผู้แสดงทุกคนย่อมรู้ดีว่า บทบาทหรือหัวโขนที่ตนสวมใส่ต่างหากที่สะกดผู้คนเอาไว้ หาใช่เป็นเพราะตัวเขาเองไม่ ดังนั้นเมื่อการแสดงสิ้นสุด ได้เวลาถอดหัวโขน ผู้เล่นทุกคนย่อมพร้อมที่จะกลับคืนสู่ความเป็นคนธรรมดาที่กลืนหายไปกับฝูงชน

    แต่ในชีวิตจริงคนจำนวนไม่น้อยหาได้ตระหนักไม่ว่า เป็นเพราะหัวโขนที่ตนสวมใส่ อันได้แก่ ตำแหน่งหน้าที่ หรือยศถาบรรดาศักดิ์ จึงทำให้ผู้คนยำเกรง ดังนั้นเมื่อพ้นตำแหน่งหรือไม่มียศถาบรรดาศักดิ์ จึงทำใจไม่ได้เมื่อพบว่าไม่มีใครให้ความสนใจกับตนอีกต่อไป

    ผู้ว่าราชการจังหวัดใหญ่ผู้หนึ่ง เมื่อเกษียณจากราชการ กลับมาเป็นประชาชนเต็มขั้น รู้สึกอาลัยวันคืนเก่า ๆ ที่เคยมีอำนาจวาสนา เขามีชีวิตอย่างหงอยเหงานานนับปี จนกระทั่งวันหนึ่งเขาได้รับเชิญให้ไปร่วมงานในจังหวัดที่ตนเคยพ่อเมือง เขาดีใจมากและเฝ้ารอวันนั้นอย่างใจจดใจจ่อ แต่เมื่อไปร่วมงาน ปรากฏว่าบริษัทบริวารที่เคยห้อมล้อมเขา กลับไปแห่แหนผู้ว่าคนใหม่ แม้แต่คหบดีในจังหวัดที่เคยพินอบพิเทาเขา ก็ไม่สนใจเขาอีกต่อไป เขารู้สึกผิดหวังอย่างรุนแรง นับแต่วันนั้นเขาก็เศร้าซึมหนักขึ้น ไม่กี่ปีหลังจากนั้นเขาก็เสียชีวิต

    ผู้มีปัญญาย่อมไม่เพลิดเพลินหลงใหลในคำแซ่ซร้องสรรเสริญของผู้คน เพราะเขารู้ดีว่านั่นเป็นเพราะบทบาทหรือหัวโขนที่เขาสวมใส่มากกว่าอะไรอื่น ไม่ช้าก็เร็วบทบาทหรือหัวโขนนั้นก็ต้องปลาสนาการไป ถึงตอนนั้นใครที่หลงใหลเพลิดเพลินย่อมอยู่เป็นทุกข์สถานเดียว

    ตำแหน่งหน้าที่หรือยศถาบรรดาศักดิ์อันสูงส่ง ให้ความสุขแก่เราก็จริง แต่มันก็สามารถสร้างความทุกข์ให้แก่เราได้ไม่น้อย โดยเฉพาะเมื่อเรายึดติดหวงแหนมัน เช่นเดียวกับหัวโขน มันเป็นสิ่งสมมติและเป็นของชั่วคราว ยิ่งยึดติดถือมั่นในมัน เราก็ยิ่งเป็นทุกข์เมื่อต้องสูญเสียมันไป

    เมื่อใดที่พอใจในความเป็นตัวเราโดยไม่แคร์หัวโขนใด ๆ เมื่อนั้นจึงจะเป็นสุขอย่างแท้จริง
    :- https://visalo.org/article/Image255401.htm
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,307
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,085
    เพียงคำว่า “แค่”
    ภาวัน
    ชายผู้หนึ่งมาหาหมอด้วยอาการอ่อนเพลียต่อเนื่องมานานหลายเดือน รูปร่างผอมซีดเพราะน้ำหนักตัวลดลงอย่างฮวบฮาบ หมอซักถามอาการได้สักพักก็สั่งเจาะเลือด

    เมื่อผลตรวจเลือดมาถึง หมอก็แจ้งแก่คนไข้ว่า เขาเป็นเบาหวาน
    ทันทีที่รู้ผล เขายิ้มหน้าบานจนเกือบจะลิงโลดด้วยซ้ำ หมอแปลกใจจึงถามเขาว่า

    “ทำไมลุงถึงดีใจล่ะครับ เป็นเบาหวานต้องกินยาตลอดชีวิตนะครับ”
    “ทีแรกผมนึกว่าจะเป็นเอดส์ แต่พอรู้ว่าเป็นแค่เบาหวาน ก็เลยดีใจมาก”

    เบาหวานเป็นโรคร้าย ใครเป็นก็ถือว่าโชคร้าย แต่ชายผู้นี้กลับดีใจที่เป็นเพราะเขาคิดว่าจะต้องเจอหนักกว่านั้น สุขหรือทุกข์จึงไม่ได้อยู่ที่ว่าเราเจออะไร แต่ขึ้นอยู่กับความคาดหวังของเรา ได้รางวัลเป็นเงินแสนแต่คาดหวังเงินล้าน ก็ย่อมเป็นทุกข์ ในทางตรงข้ามแม้เป็นเบาหวานแต่ใจคาดว่าจะเป็นเอดส์ ก็กลับทำให้ยิ้มได้

    โรคร้ายกลายเป็นเบาเมื่อเทียบกับโรคที่ร้ายกว่า เด็กหญิงผู้หนึ่งเป็นมะเร็งสมอง ผมร่วงทั้งศีรษะเพราะผ่านการฉายแสง แต่เธอมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส จนคนมาเยี่ยมแปลกใจ คุยกันได้สักพักเธอก็บอกว่า เธอโชคดีที่ไม่ได้เป็นมะเร็งปากมดลูก ญาติของเธอคนหนึ่งเป็นมะเร็งชนิดนั้น เจ็บปวดทุกข์ทรมานมาก เธอจึงรู้สึกว่าโชคดีที่เป็นแค่มะเร็งสมอง

    คนเราจะสุขหรือทุกข์อยู่ที่มุมมองเป็นสำคัญ มุมมอง(รวมทั้งความคาดหวัง)เป็นตัวสำคัญที่บ่งชี้หรือตีค่าว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรานั้น ดีหรือร้าย เบาหรือหนัก น้อยหรือมาก เมื่อปีที่แล้วหลังการล้อมปราบผู้ชุมนุมเสื้อแดง มีการเผาศูนย์การค้าหลายแห่ง ร้านสุกี้ชื่อดังพลอยฟ้าพลอยฝน ถูกเผาไป ๔ สาขา เสียหายหลายสิบล้านบาท ผู้จัดการสาขาและพนักงานทั้งเสียใจและโกรธแค้น ตรงข้ามกับซีอีโอซึ่งมีหุ้นใหญ่ในกิจการดังกล่าวกลับไม่รู้สึกทุกข์ร้อนกับข่าวคราวดังกล่าว ซ้ำยังปลอบใจลูกน้องว่า "ไม่เป็นไรเรายังมีอีกตั้ง ๓๒๐ สาขา"

    ซีอีโอผู้นี้ยิ้มได้กับเหตุการณ์ดังกล่าวเพราะมองว่า ร้านของเขาถูกเผาไปแค่ ๔ สาขาเท่านั้น นี้ก็ทำนองเดียวกับเด็กหญิงวัย ๑๔ ที่มองว่าตัวเองเป็นแค่มะเร็งสมอง หรือลุงที่ดีใจเมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นแค่เบาหวาน แม้เจอเรื่องร้ายแต่ทั้งสามคนไม่เป็นทุกข์เพราะมองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นยังเบาอยู่ เขารับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยมีคำว่า "แค่" ติดมาด้วย

    เพียงคำว่า "แค่"คำเดียวก็ทำให้ปัญหาต่าง ๆ ดูเบาลงไปและบรรเทาความทุกข์ของเราไปได้เยอะ แต่บ่อยครั้งเรามักลืมคำ ๆ นี้ไปในยามที่ประสบเหตุร้ายหรือสิ่งที่ไม่สมหวัง แต่กลับนึกถึงคำ ๆ นี้เวลาประสบโชคหรือได้รับสิ่งที่น่าพอใจ เช่น "เขาชมฉันแค่นี้เอง" "ฉันได้โบนัสแค่ ๔ แสนเท่านั้น" "ฉันได้เป็นแค่ผู้จัดการฝ่าย" ผลที่ตามมาคือความทุกข์เกาะกินใจ

    ชายผู้หนึ่งได้ทราบว่ามิตรอาวุโสขายหุ้นได้กำไร ๑๐ ล้านบาทเมื่อ ๒-๓ วันก่อน เขาจึงแสดงความยินดีกับเธอด้วย แต่คุณป้าผู้นั้นกลับตอบว่า "ยินดีอะไรกันล่ะ ถ้าฉันขายหุ้นวันนี้ ฉันก็ได้กำไรแล้ว ๒๐ ล้าน" วันรุ่งขึ้นคุณป้าผู้นี้ไม่มาตลาดหุ้นเหมือนเคย ชายผู้นี้จึงไปสอบถามโบรคเกอร์ซึ่งคุ้นเคยกับเธอ ก็ได้ความว่าเธอเข้าโรงพยาบาลไปแล้วเมื่อเช้า สาเหตุก็เพราะเธอเครียดมาก

    คุณป้าเครียดก็เพราะเป็นทุกข์ที่ได้กำไร "แค่" ๑๐ ล้านบาทเท่านั้น จะว่าไปเงินก้อนนี้มิใช่จำนวนน้อย ๆ พอ ๆ กับถูกลอตเตอรี่รางวัลที ๑ โชคลาภอย่างนี้ใครได้ไปก็น่าจะมีความสุข แต่พอมองไม่ถูก วางใจไม่เป็น เห็นว่ามันเป็น "แค่" ๑๐ ล้านบาทเท่านั้น ก็เป็นทุกข์ทันที

    คำว่า "แค่" คำนี้มีอิทธิพลต่อจิตใจของเรามาก มันสามารถสร้างทุกข์หรือปัดเป่าความกลัดกลุ้มไปจากจิตใจของเราได้ อยู่ที่ว่าเราจะใช้มันอย่างไร หากใช้ให้เป็น เราก็สามารถรับมือกับเหตุร้ายได้โดยใจไม่ทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นการพลัดพรากสูญเสียของรัก หรือประสบกับสิ่งที่ไม่พึงประสงค์

    เมื่อเจอเหตุร้ายคราวหน้า อย่าลืมนึกถึงคำนี้ เพียงเติมคำว่า "แค่" ไว้ข้างหน้าเหตุร้ายเหล่านั้น เรื่องร้ายก็จะกลายเป็นเบาไปได้ในความรู้สึกของเรา
    :- https://visalo.org/article/Image255408.htm
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,307
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,085
    ของดีไม่มียี่ห้อ
    ภาวัน
    เช้าวันหนึ่ง “ชอุ่มศรี”กับ “หนวดน้อย” มาเยี่ยม ทั้งคู่เพิ่งกลับมาจากมาเลเซีย แถมหิ้วของมาฝากด้วย เป็นกระเป๋าเดินทางสีน้ำตาลมีล้อลาก รูปทรงเรียบ ๆ ธรรมดา แต่ชอุ่มศรีภาคภูมิใจมากที่นำของชิ้นนี้มาฝากเพื่อน เพราะเป็นกระเป๋าที่ใช้งานได้ดีมาก ด้านหน้ามีหลายชั้น เหมาะสำหรับใส่โน้ตบุ๊คและเอกสาร ด้านในใส่เสื้อผ้าและของจิปาถะได้มากมาย ส่วนซิปก็รูดได้ลื่นมาก เช่นเดียวกับล้อลากที่แค่ออกแรงเบา ๆ ก็เคลื่อนตัวอย่างรื่นเรียบและเงียบกริบ นอกจากนั้นวัสดุที่ใช้ยังทนมากด้วย

    ชอุ่มศรีบอกว่ากว่าจะซื้อกระเป๋าใบนี้ได้ต้องเข้าแถวยาวทีเดียว แต่นั่นยังไม่แปลกเท่ากับที่เธอบอกว่า กระเป๋าใบนี้ไม่มียี่ห้อ สำรวจดูก็เป็นอย่างที่เธอว่าจริง ๆ หาเท่าไรก็ไม่เจอโลโก้ เครื่องหมายการค้า หรือตัวอักษรที่บ่งบอกยี่ห้อ อดพิศวงไม่ได้ว่าสินค้าไม่มียี่ห้ออย่างนี้ขายดีได้อย่างไร
    แล้วหนวดน้อยก็เสริมว่ากระเป๋าใบนี้ซื้อมาจากร้าน “มูจิ” ซึ่งย่อมาจากข้อความว่า “มูจิรูชิ เรียวฮิน” แปลเป็นไทยง่าย ๆ ว่า “ของดีไม่มียี่ห้อ” เขายังบอกอีกว่าตอนนี้สินค้าจากร้านนี้ขายดีมาก เป็นที่นิยมไปทั่วโลก ไม่ใช่แค่กระเป๋าเท่านั้น แต่รวมถึงของใช้จิปาถะ

    สินค้าไม่มียี่ห้อ ไม่เคยเห็นโฆษณาหรือแม้แต่ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามอย่างนี้น่ะหรือ ที่ขายดีไปทั่วโลก เราอดคิดในใจไม่ได้ แต่เมื่อค้นข้อมูลผ่าน google ก็พบว่า ปัจจุบันมูจิมียอดขายปีหนึ่งหลายพันล้านบาท นอกจากเชนสโตร์ในญี่ปุ่นเกือบ ๓๐๐ แห่งแล้ว ยังมีสาขาในอีก ๑๖ ประเทศ รวมทั้งประเทศไทยด้วย มูจิเป็นกิจการที่เติบโตเร็วมาก ปัจจุบันผลิตสินค้าถึง ๗,๐๐๐ ชนิด

    ในยุคที่ผู้คนทั่วโลกคลั่งไคล้สินค้าแบรนด์เนม มูจิเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจมาก ตั้งแต่ถือกำเนิด
    เมื่อปี ๒๕๒๓ ผู้ก่อตั้งมีปณิธานแน่วแน่ว่าสินค้าของตนจะไม่มียี่ห้อหรือโลโก้อย่างเด็ดขาด รวมทั้งไม่มีการทุ่มทุนโฆษณาเหมือนสินค้าอื่น ๆ ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะต้องการทวนกระแสบริโภคนิยมที่กระตุ้นให้คนเสพทุกอย่างไม่เว้นแม้กระทั่งยี่ห้อหรือภาพลักษณ์ เมื่อไม่ต้องเสียเงินมหาศาลไปกับการโฆษณา ก็ทำให้สินค้ามีราคาถูกลง อันเป็นความตั้งใจอีกประการหนึ่งของผู้ก่อตั้ง
    จุดเด่นอีกอย่างของมูจิ คือการใช้แพ็คเก็จอย่างง่าย ๆ นอกจากเพื่อประหยัดต้นทุนแล้ว ยังเพื่อช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมด้วย สำนึกดังกล่าวยังถ่ายทอดลงไปในกระบวนการผลิตและการจัดจำหน่ายด้วย

    รูปทรงของสินค้าจากมูจินั้นเรียบง่ายมาก จนบางคนมองว่าเชย แต่นี้คือหัวใจของมูจิก็ว่าได้ เพราะมูจิต้องการเน้นคุณภาพมากกว่ารูปแบบ ใครที่ใช้ของมูจิย่อมอดไม่ได้ที่จะต้องชมว่าเป็นของดีจริง ๆ อย่างไรก็ตามแม้รูปแบบจะแสนธรรมดา แต่ก็แฝงความงดงามเอาไว้ ไม่ต่างจากภาพเซนที่ตวัดด้วยหมึกดำไม่กี่เส้น แต่ก็สวยงามตรึงใจผู้ดู จะว่าไปแล้วเซนมีอิทธิพลต่อผู้ก่อตั้งมูจิไม่น้อยเลย ดังเขากล่าวว่าการดีไซน์สินค้าของมูจิถือหลักเรียบง่ายแบบเซน

    ทั้ง ๆ ที่ไม่มียี่ห้อหรือโลโก้ แต่สินค้าจากมูจินั้นมองปราดเดียวก็รู้ว่ามาจากไหน เพราะรูปทรงนั้นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว จะว่าไปแล้วทั้งรูปแบบและคุณภาพก็บ่งบอกชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็น“ของดีไม่มียี่ห้อ”

    ถึงไม่มียี่ห้อก็เป็นของดีได้ นี้คือ “สาร”จากมูจิที่เตือนใจผู้คนได้ดีมาก โดยเฉพาะในยุคที่ผู้คนหมกมุ่นหลงใหลในยี่ห้อ จนเข้าใจไปว่ายี่ห้อกับของดีเป็นสิ่งคู่กัน ถึงกับพากันไขว่คว้าหาสินค้ายี่ห้อดัง ๆ มาใช้ หรือไม่ก็มองว่าคนที่ใช้สินค้ายี่ห้อดังต้องเป็นคนเก่งฉลาดหลักแหลม

    จะว่าไปแล้วมิใช่แต่ยี่ห้อสินค้าเท่านั้น เรายังหลงใหลติดยึดยี่ห้อของผู้คนอีกด้วย เจอใครที่มียี่ห้อดี เช่น เป็นผู้จัดการ เป็นด็อกเตอร์ หรือเป็นหมอ ก็สรุปล่วงหน้าแล้วว่าเขาเป็นคนดีมีคุณภาพคับแก้ว แต่ถ้าเจอชาวบ้าน คนกวาดขยะ แม่ค้า ก็มักมองว่าเขาเป็นคนไม่น่าคบหา หรือไม่ฉลาด

    มูจิยังบอกอีกว่า ของดีไม่มียี่ห้อก็ยังขายดีได้ รูปแบบภายนอกนั้นไม่สำคัญเท่ากับคุณภาพภายใน แทนที่จะมัวเติมแต่งรูปลักษณ์ ไม่ดีกว่าหรือหากจะมาใส่ใจกับคุณภาพไม่ว่าของสินค้าหรือตัวคน
    หากจุดมุ่งหมายของยี่ห้อคือการประกาศตัวตน มูจิก็เป็นตัวอย่างดีที่ชี้ว่าการประกาศตัวตนที่ดีที่สุดนั้น มิใช่ด้วยถ้อยคำ แต่ด้วยคุณภาพภายใน ถ้าเป็นของดีจริง ๆ คนอื่นย่อมรู้วันยังค่ำ

    ของดีไม่ต้องพึ่งยี่ห้อหรือโฆษณาฉันใด คนดีคนเก่งก็ไม่จำต้องโอ้อวดโฆษณาตัวเองฉันนั้น
    :- https://visalo.org/article/Image255304.htm


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มิถุนายน 2025
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,307
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,085
    คิดบวก
    ภาวัน

    ทุกวันนี้ “คิดบวก” กำลังเป็นที่นิยมมาก แต่เราหมายความว่าอย่างไรเวลานึกถึงคำนี้ ความหมายหนึ่งก็คือ การคาดการณ์อนาคตในแง่ดี มองเห็นความสำเร็จอยู่ข้างหน้า หน่วยงานหลายแห่งถึงกับเอาแนวคิดนี้มาใช้ในการวางแผน คือ ตั้งเป้าที่สวยหรูเอาไว้ ทั้งนี้เพื่อกระตุ้นให้เกิดกำลังใจในการทำงาน บางคนถึงกับเชื่อว่า ถ้านึกถึงสิ่งดี ๆ สิ่งนั้นก็มีโอกาสจะเกิดขึ้นกับตนได้

    แต่ปัญหาที่เกิดจากวิธีคิดแบบนี้ก็คือ หากผลที่ออกมาไม่เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ ก็จะตั้งรับไม่ทัน หลายคนวาดหวังว่าชีวิตจะต้องราบรื่น ก้าวหน้าและเปี่ยมสุข แต่พอรู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็ง ก็ล้มทรุดทันทีทั้ง ๆ ที่มะเร็งยังอยู่ในระยะแรก

    นักธุรกิจจำนวนไม่น้อยทำงานอย่างเล็งผลเลิศ มองเห็นอนาคตสดใส จึงเดินหน้าเต็มที่โดยไม่คิดเผื่อทางอื่นไว้เลย พอสถานการณ์ไม่เป็นอย่างที่คิด ก็ปรับตัวไม่ทัน เพราะไม่มีแผนสองไว้รองรับ

    การตั้งเป้าไว้สวยหรูนั้น ยังมีผลเสียตรงที่ ดึงดูดให้ผู้คนหมกมุ่นอยู่กับการทำให้ถึงเป้า จนลืมเรื่องอื่นที่มีความสำคัญต่อชีวิต ผลก็คือ แม้ประสบความสำเร็จตามเป้า แต่ก็สูญเสียหลายสิ่งหลายอย่างไป มีนักธุรกิจชาวอเมริกันคนหนึ่งเล่าว่า เขาตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องมีเงิน ๑ ล้านเหรียญก่อนอายุ ๔๐ แล้วเขาก็ทำได้ในที่สุด แต่ปรากฏว่าเขาต้องหย่าขาดจากภรรยา มีปัญหาสุขภาพ ซ้ำลูกยังไม่คุยกับเขาอีกด้วย

    จะดีกว่าไหมหากเรามองอนาคตในแง่ลบไว้บ้าง เพราะอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน และเราไม่อาจควบคุมบังคับให้เป็นไปตามใจของเราได้ แม้วันนี้ชีวิตจะราบรื่น ก็ไม่ได้หมายความว่าพรุ่งนี้ชีวิตจะราบรื่นเหมือนวันนี้ ดังนั้นไม่ว่าจะทำอะไร จึงควรเผื่อใจไว้ว่าอาจไม่สำเร็จอย่างที่วาดหวัง

    การมองว่าในอนาคตเราอาจเจ็บป่วยด้วยโรคร้าย การงานล้มเหลว มีปัญหาการเงิน หลายคนมองว่าเป็น “ลาง”ไม่ดี แต่ที่จริงมันเป็นการกระตุ้นเตือนให้เราไม่ประมาทกับชีวิต และไม่หลงเพลินในความสำเร็จที่กำลังเกิดขึ้น ทำให้เราเตรียมพร้อมรับมือกับเหตุร้ายที่อาจมาถึง และหาทางป้องกันมิให้มันเกิดขึ้นหากอยู่ในวิสัยที่จะทำได้ รวมทั้งเร่งทำสิ่งที่ควรทำแทนที่จะปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์

    นี้เป็นวิธีหนึ่งที่พระพุทธเจ้าใช้สอนพระภิกษุและคฤหัสถ์ กล่าวคือ ทรงแนะให้ระลึกถึงความแก่ ความเจ็บ ความตาย และความพลัดพรากสูญเสียจากของรักของชอบใจ อยู่เนือง ๆ ในบางครั้งทรงแนะให้พระภิกษุระลึกถึงอนาคตภัย ๕ ประการ คือ ความแก่ ความเจ็บป่วย ข้าวยากหมากแพง ความไม่สงบในบ้านเมือง และความแตกสามัคคีในหมู่สงฆ์ ทั้งนี้เพื่อกระตุ้นเตือนให้เร่งทำความเพียรในขณะที่ยังมีชีวิตสุขสบาย

    เวลาไปฟังผลตรวจร่างกายจากหมอ หลายคนวิตกกังวลว่าจะเจอข่าวร้าย จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ แต่ถ้าตั้งสติให้ดี แล้วนึกถึงสถานการณ์เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้น เช่น เป็นมะเร็ง ลองทำใจให้คุ้นกับความคิดนึกดังกล่าวสักพัก ยอมรับความกลัวที่เกิดขึ้น แล้วจะพบว่าเราสามารถรับฟังคำวินิจฉัยของหมอด้วยใจที่สงบมากขึ้น สุดท้ายแม้พบว่าตัวเองเป็นมะเร็ง เราก็จะยอมรับความจริงนี้ได้ง่ายขึ้น เพราะเผื่อใจเอาไว้แล้ว

    ถึงตรงนี้แหละที่ “คิดบวก”ในอีกความหมายหนึ่งเป็นประโยชน์แก่เรา นั่นคือการมองเห็นด้านดีของเหตุร้าย มีบางคนบอกว่าโชคดีที่รู้แต่เนิ่น ๆ ทำให้มีเวลารักษาตัวเองก่อนที่มันจะลาม หลายคนบอกว่า โชคดีที่เป็นมะเร็ง เพราะมะเร็งทำให้เขาหันมาสนใจธรรมะ จึงได้พบกับความสุขที่แท้

    ในทำนองเดียวกัน การเห็นสิ่งดี ๆ ไม่จดจ่ออยู่กับสิ่งแย่ ๆ ก็ทำให้เราสามารถรับมือกับเหตุร้ายได้ ดังหลายคนบอกว่า ถึงแม้กายจะป่วย แต่ก็ยังเห็นสิ่งสวยงามอยู่รอบตัว

    การมองเห็นด้านดีของเหตุร้าย และการเห็นสิ่งดี ๆ ที่อยู่รายรอบสิ่งแย่ ๆ เป็นการคิดบวกที่ช่วยให้เราอยู่กับความทุกข์ได้โดยใจไม่ทุกข์
    :- https://visalo.org/article/Image255603.html
     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,307
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,085
    อย่าลืมเก็บของดีติดมือ
    ภาวัน
    เช้าวันหนึ่งขณะที่จอห์น โรเจอร์สจูงหมาออกไปเดินเล่น จู่ ๆ หญิงสาวผู้หนึ่งก็เข้ามากระแทกเขาที่ด้านหลัง ผลักเขาล้มลง แล้วกระหน่ำแทงตามลำตัวอย่างไม่ยั้งรวม ๔๐ แผล จากนั้นก็ทิ้งเขาให้นอนจมกองเลือด เดชะบุญที่มีคนช่วยเขาพาส่งโรงพยาบาลได้ทัน

    เขามารู้ภายหลังว่าหญิงคนนั้นฆ่าผู้ชายตายไปแล้ว ๓ คนภายในเวลาแค่ ๑๐ วัน อีกคนปางตาย ทั้ง ๆ ที่ไม่มีเรื่องโกรธแค้นเป็นส่วนตัวเลย หลังจากที่เขามีอาการดีขึ้นแล้ว มีนักข่าวถามว่า เขาอยากพูดอะไรกับหญิงคนนั้น เขาตอบว่า “ผมอยากถามว่า ทำไมต้องทำอย่างนี้? กรุณาบอกผมด้วย” ครั้นนักข่าวถามต่อว่า เหตุการณ์วันนั้นทำให้การดำเนินชีวิตของเขาเปลี่ยนไปหรือไม่

    คำตอบของเขาก็คือ “ตอนนี้ผมได้คิดแล้วว่า วันหนึ่งผมอาจตื่นขึ้นมาแต่เช้า เดินอยู่ดี ๆ แล้วโดนรถเมล์แล่นทับตายก็ได้ เราไม่รู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิต ฉะนั้นพยายามทำสิ่งที่ดีสุดทุกวันดีกว่า ”

    คนจำนวนไม่น้อยหากเจอเหตุการณ์แบบนี้ นอกจากจะโกรธแค้นมือมีดแล้ว ย่อมอดไม่ได้ที่จะก่นด่าชะตากรรม ตีโพยตีพาย หรือคร่ำครวญว่า ทำไมถึงเคราะห์ร้ายอย่างนี้ กลายเป็นประสบการณ์อันเจ็บปวด ย้อนรำลึกเมื่อใด ก็รู้สึกหวาดผวาเมื่อนั้นเสมือนฝันร้าย

    มุมมองเช่นนี้ย่อมทำให้เป็นทุกข์ และไม่ได้อะไรจากสิ่งที่เกิดขึ้นเลย แต่การที่ชายผู้นี้มองอีกมุมหนึ่ง นอกจากเขาจะไม่ทุกข์เพราะถูกความโกรธแค้นพยาบาทเผาลนใจแล้ว ยังได้แง่คิดจากประสบการณ์ดังกล่าว ทำให้ใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท และเห็นคุณค่าของทุกวันที่ยังมีลมหายใจอยู่ เพราะความตายเกิดขึ้นได้ทุกเวลา

    มองในแง่นี้เขาไม่ได้เป็นฝ่ายถูกกระทำจากเหตุการณ์ดังกล่าวเท่านั้น แต่เขายังได้ประโยชน์จากมันด้วย ท่ามกลางความสูญเสียเจ็บปวด เขาก็ได้ “กำไร”จากเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วย คือได้ข้อคิดเตือนใจ ซึ่งจะช่วยให้เขาใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่ากับเวลาที่เหลืออยู่

    เหตุร้ายที่เกิดขึ้นกับเรานั้น หากวางใจไม่ถูก หรือมองไม่เป็น ก็มีแต่เสียสถานเดียว แต่ถ้าวางใจเป็น แม้เสียทรัพย์หรือเสียสวัสดิภาพ แต่ก็ยังได้บางสิ่งบางอย่างที่มีคุณค่าเป็นสิ่งตอบแทน

    เมื่อครั้งน้ำท่วมใหญ่ปี ๒๕๕๔ ผู้คนสูญเสียทรัพย์สมบัติมากมายไปกับสายน้ำ ที่สิ้นเนื้อประดาตัวก็มีไม่น้อย หลายคนเศร้าโศกเสียใจนานนับเดือน บางคนถึงกับฆ่าตัวตาย แต่มีหญิงผู้หนึ่งทำใจได้ เธอบอกว่าน้ำท่วมคราวนี้สอนให้เธอรู้ว่า ไม่มีอะไรที่เป็นของเราเลยแม้แต่อย่างเดียว มันอยู่กับเราเพียงชั่วคราวเท่านั้น สักวันหนึ่งมันก็ไปจากเรา

    สำหรับหญิงผู้นี้ เธอเพียงแต่เสียทรัพย์ แต่ก็ได้สัจธรรมมาเป็นเครื่องเตือนใจ ซึ่งไม่เพียงช่วยให้เธอทำใจได้กับเหตุการณ์นี้เท่านั้น แต่ยังจะช่วยให้เธอสามารถรับมือกับความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ด้วย

    เหตุร้ายต่าง ๆ นั้น แม้จะทำให้เราต้องสูญทรัพย์ เสียคนรัก ล้มป่วย หรือพิการ แต่ก็ไม่จำเป็นต้องตามมาด้วยความเศร้าโศกเสียใจหรือเจ็บปวดเสมอไป เราสามารถรักษาใจให้ไม่ทุกข์ได้หากรู้จักมองเหตุการณ์ดังกล่าวโดยไม่ซ้ำเติมตัวเอง

    ผู้คนเป็นอันมากเมื่อเกิดเหตุร้ายแล้วก็ซ้ำเติมตัวเอง แทนที่จะป่วยกายอย่างเดียว ก็ป่วยใจตามไปด้วย แทนที่จะเสียทรัพย์อย่างเดียว ก็เสียใจระทมทุกข์ซ้ำเข้าไปอีก ครั้นตรอมตรมมาก ๆ จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ก็เสียสุขภาพตามมา แล้วก็เสียงานเสียการ เท่านั้นไม่พอ เมื่อเผลอระบายอารมณ์บูดใส่คนรอบข้าง ก็ทำให้เสียสัมพันธภาพอีก กลายเป็นว่าแทนที่จะเสียอย่างเดียว คือ เสียทรัพย์ กลับเสียหลายอย่าง ซึ่งล้วนแต่มีคุณค่าทั้งสิ้น

    ใครจะทำร้ายหรือเอาเปรียบเราก็แล้วแต่ ล้วนเป็นเรื่องที่ห้ามได้ยาก แต่สิ่งหนึ่งที่เราทำได้เมื่อเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ขึ้นมาก็คือ อย่าซ้ำเติมตัวเอง อย่างน้อยก็ควรรักษาใจให้ไกลทุกข์ ดียิ่งกว่านั้นก็คือ เก็บเกี่ยวสิ่งดี ๆ หรือหาประโยชน์จากมันให้ได้
    “คนเราเมื่อล้มแล้ว (ก่อนจะลุก)ต้องหยิบอะไรขึ้นมาสักอย่าง” เป็นคติเตือนใจของออสวอลด์ อเวอรี นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน ซึ่งทำให้เขาไม่เคยท้อแท้เมื่อประสบความล้มเหลว ซ้ำยังได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ จากความล้มเหลวทุกครั้ง

    ไม่ใช่แต่ความล้มเหลวเท่านั้น แม้เหตุการณ์เลวร้ายอื่น ๆ ที่เกิดกับเรา ล้วนมีของดีให้เราหยิบติดมือก่อนจะลุกขึ้นมาเสมอ

    :- https://visalo.org/article/Image255707.html
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,307
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,085
    พลังแห่งสติ
    ภาวัน
    ปีสุดท้ายของการเป็นนักศึกษา สุทธิศาสตร์ต้องไปฝึกงานด้านสังคมสงเคราะห์ เขาอยากไปทำงานกับองค์กรชาวบ้านในภาคอีสาน แต่อาจารย์ต้องการให้เขาไปเรียนรู้จากหน่วยงานราชการ เขาพยายามชี้แจงอย่างไรอาจารย์ก็ไม่ยอม แต่สุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่า งั้นไปฝึกงานสงเคราะห์ชาวเขาในภาคเหนือก็แล้วกัน

    แต่เมื่อเดินทางไปถึงเชียงใหม่ เขาจึงทราบว่าสถานฝึกงานที่อาจารย์ติดต่อให้เขา คือกรมประชาสงเคราะห์ ไม่ใช่เอ็นจีโออย่างที่ตกลงกัน เขาโมโหมาก ขุ่นมัวกับเรื่องนี้ทั้งวัน ตกค่ำก็ยังไม่หายคับข้องใจ วันรุ่งขึ้นอาจารย์ที่ปรึกษามาหาเขา เขาจึงระบายความโกรธใส่อาจารย์ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วย แต่เขาไม่สนใจ อาจารย์พยายามอธิบายอย่างไรเขาก็ไม่ฟัง มีช่วงหนึ่งอาจารย์ทักเขาว่า “สุทธิศาสตร์ คิ้วของเธอผูกเป็นโบว์เลยนะ”

    ได้ยินเท่านี้เขาก็ชะงัก คำพูดของอาจารย์ทำให้เขาเพิ่งรู้ตัวว่ากำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความโกรธ ทันทีที่เห็นความโกรธพลุ่งพล่านในใจ ความโกรธก็หลุดหายไปทันที เกิดความรู้สึกโปร่งเบา แตกต่างจากความรู้สึกเมื่อสักครู่อย่างชัดเจน ประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้เขาประจักษ์ชัดถึงพลังแห่งสติว่าสามารถปลดเปลื้องอารมณ์ไปจากใจได้อย่างน่าอัศจรรย์

    แม้ความโกรธเผาลนจิตใจเป็นวันเป็นคืน แต่ผู้คนทั้งหลายหารู้ตัวไม่ เพราะใจนั้นพุ่งออกไปยังบุคคลหรือเหตุการณ์ที่ทำให้ตนไม่พอใจ คิดแต่จะตอบโต้เขาด้วยคำพูดและการกระทำ ในยามนั้นใจไม่ได้หันกลับมามองตนเลย จึงไม่รู้ว่ากำลังถูกความโกรธครอบงำ สุทธิศาสตร์ก็เช่นกัน หลงปล่อยให้ความโกรธเล่นงานข้ามวันข้ามคืนโดยไม่รู้ตัว ต่อเมื่อถูกอาจารย์ทัก จึงค่อยรู้ว่าเผลอโกรธไปตั้งนาน หากไม่รู้ตัว เขาคงระบายไม่หยุดและเป็นทุกข์อีกนาน

    ความโกรธทำให้ลืมตัว และความลืมตัวทำให้โกรธหนักขึ้น จนสามารถทำอะไรก็ได้อย่างที่ตนเองอาจนึกไม่ถึงด้วยซ้ำ โรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพ ฯ เมื่อถึงเวลาเลิกเรียน นอกจากจราจรหน้าโรงเรียนจะแน่นขนัดแล้ว ที่จอดรถในโรงเรียนยังหาได้ยากด้วย มีผู้ปกครองคนหนึ่งเลี่ยงปัญหานี้ด้วยการแหกกฎ ขับรถเข้าทางประตูออก จึงไม่ต้องเสียเวลาจอดออที่ประตูเข้า แถมยังได้ที่จอดรถอย่างง่ายดาย

    บังเอิญนั่นเป็นที่จอดรถสุดท้ายที่เหลืออยู่ ผู้ปกครองอีกคน ซึ่งควรจะได้ที่จอดรถนั้นเพราะขับตามกฎของโรงเรียน ไม่พอใจที่ถูกแย่งที่จอดรถไปต่อหน้าต่อตา จึงลงจากรถไปต่อว่าเขา โดยหารู้ไม่ว่าชายผู้นั้นเป็นนายทหารยศพันเอก ฝ่ายหลังนั้นไม่เคยถูกต่อว่าเช่นนี้มาก่อน จึงโกรธมาก ถามกลับไปว่า “รู้ไหมว่าอั๊วเป็นใคร” คำตอบที่ได้รับคือ “ผมไม่สนใจว่าคุณเป็นใคร แต่คุณทำผิดกฎของโรงเรียน ทำอย่างนี้ไม่ถูก” พูดเสร็จ เขาก็เดินกลับไปที่รถของตน

    นายทหารผู้นั้นโกรธจัด คว้าปืนจากรถแล้วเดินตามผู้ปกครองคนนั้นไป หมายจะยิงให้หายแค้น โดยอีกฝ่ายไม่รู้เลยว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับตน

    เหตุการณ์ทั้งหมดนี้อยู่ในสายตาของพนักงานขับรถคนหนึ่งของโรงเรียน เขาเห็นท่าไม่ดี จึงเข้าไประงับเหตุร้าย แต่เขารู้ดีว่าหากทะเล่อทะล่าเข้าไป อาจกลายเป็นผู้เคราะห์ร้ายแทนก็ได้ สิ่งที่เขาทำก็คือ เดินไปหานายทหารผู้นั้น สัมผัสที่แขนแล้วพูดอย่างอ่อนน้อมว่า “ท่านครับ ท่านมารับลูกไม่ใช่หรือครับ”

    พอได้ยินคำว่า “ลูก” เขาก็ได้สติขึ้นมาทันที ความโกรธพลันหายไป ครั้นรู้สึกตัวขึ้นมาว่ากำลังจะทำอะไรลงไป เขาก็เปลี่ยนใจ หันกลับไปที่รถ เอาปืนไปเก็บ แล้วเดินไปรับลูก จึงรอดพ้นจากการเป็นอาชญากรไปได้อย่างหวุดหวิด

    ความโกรธกับสติ เป็นคู่ตรงข้ามกัน ถ้าไม่มีสติ ความโกรธก็รังควานจิตใจได้ง่าย แต่ถ้ามีสติเมื่อใด ความโกรธก็อยู่ไม่ได้ บุคคลในเรื่องทั้งสองได้สติก็เพราะมีคนช่วยทักช่วยเตือน แต่คนเราไม่ได้โชคดีไปตลอด หากไม่มีคนช่วยทักช่วยเตือน ทำอย่างไรความโกรธจะไม่ครอบงำจนเผลอทำสิ่งที่ต้องเสียใจในภายหลัง คำตอบก็คือ ต้องพัฒนาสติของตัวเองให้ทำงานได้ทันท่วงที

    ด้วยเหตุนี้เองเมื่อสุทธิศาสตร์เรียนจบ เขาจึงตัดสินใจออกบวชเพื่อฝึกสติให้เจริญงอกงาม เขาได้พบกับความสงบเย็น อารมณ์ไม่ผันผวนขึ้นลงเหมือนก่อน ผ่านไปสิบปีแล้วเขาก็ยังมีความสุขอยู่ในผ้าเหลือง

    แต่เราไม่จำเป็นต้องบวชก็ได้ เพียงแค่หมั่นดูใจของตนอยู่เสมอ ทำอะไรใจก็อยู่กับสิ่งนั้น ใจลอยไปไหน ก็รู้ แล้วกลับมาอยู่กับสิ่งนั้น ทำบ่อย ๆ สติก็จะว่องไวปราดเปรียว ช่วยคุ้มกันใจ ไม่ให้อารมณ์ใด ๆ ครอบงำ เพียงเท่านี้ ความสงบเย็น โปร่งโล่งเบาสบาย จะกลายเป็นเรื่องง่าย แม้รอบตัววุ่นวายเพียงใดก็ตาม
    :- https://visalo.org/article/Image255612.html


     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,307
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,085
    มองแต่ไม่เห็น
    ภาวัน

    ขณะที่เขาขับมอเตอร์ไซค์ใกล้ถึงสี่แยก ก็เห็นสัญญาณไฟเขียว จึงพุ่งไปข้างหน้า แต่พอถึงกลางสี่แยก รถเก๋งซึ่งแล่นมาจากทิศทางตรงกันข้าม ก็เลี้ยวซ้ายแล้วชนเขาอย่างจัง เขากระเด็นจากรถกระแทกพื้น โชคดีที่เขาเพียงแต่ดั้งจมูกหักและเสียฟันไปสองสามซี่ อย่างไรก็ตามเขาถูกปรับเนื่องจากไม่สวมหมวกกันน็อค ส่วนคนขับรถเก๋งถูกปรับที่ไม่ยอมให้ทางรถมอเตอร์ไซค์

    เหตุการณ์นี้ดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ว่าเมืองเล็กเมืองใหญ่ สาเหตุนั้นมักสรุปกันว่าเป็นเพราะความประมาทของคนขับไม่ฝ่ายใดก็ฝ่ายหนึ่ง หรือทั้งสองฝ่าย แต่บ่อยครั้งทั้งคู่ยืนยันว่าตนขับด้วยความระมัดระวัง คนขับรถเก๋งหลายคนยืนยันว่าไม่เห็นรถมอเตอร์ไซค์เลยก่อนที่จะพุ่งชน บางคนถึงกับบอกว่า “ผมให้สัญญาณไฟเลี้ยวก่อนแล้ว หนำซ้ำยังดูจนแน่ใจว่าถนนว่าง จึงเลี้ยว จู่ ๆ ก็มีอะไรมาชนรถของผม มารู้อีกทีก็เห็นคนนอนแผ่อยู่บนถนนพร้อมกับมอเตอร์ไซค์” ส่วนคนขับมอเตอร์ไซค์ก็พูดทำนองว่า “ผมขับอยู่ดี ๆ รถคันนั้นก็พุ่งมาชนผม แถมคนขับยังมองมาที่ผมด้วยซ้ำ “

    เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นบ่อยมากจนยากที่จะสรุปว่าเป็นเพราะความประมาทอย่างเดียว ในที่สุดนักวิชาการคู่หนึ่งเชื่อว่าตนพบคำตอบ คริสโตเฟอร์ ชาบริส และดาเนียล ไซมอนส์ ได้ทำการทดลองที่มีชื่อเสียงมาก เขานำวีดีโอคลิปความยาวไม่ถึง ๑ นาทีมาให้คนกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าชม วีดีโอนั้นเป็นภาพนักกีฬา ๒ ทีมเดินสลับกันไปมาในวง ระหว่างนั้นก็โยนลูกบาสเกตบอลให้แก่เพื่อนในทีมไปด้วย ทีมหนึ่งใส่เสื้อสีขาว อีกทีมหนึ่งใส่เสื้อสีดำ รวมแล้วมีไม่ถึงสิบคน

    สิ่งที่ผู้ชมได้รับมอบหมายให้ทำก็คือ นับในใจว่าทีมเสื้อขาวนั้นโยนลูกให้กันกี่ครั้ง โดยไม่ต้องสนใจทีมเสื้อดำ เมื่อฉายวีดีโอเสร็จ ผู้ฉายก็ถามว่า มีการโยนลูกกี่ครั้ง แน่นอนว่าคำตอบค่อนข้างหลากหลาย แต่ที่จริงนั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ประเด็นสำคัญอยู่ที่คำถามข้อที่สองว่า “ระหว่างที่นับลูกนั้น มีใครเห็นกอริลล่าบ้าง” ประมาณครึ่งหนึ่งรู้สึกงงงันว่า เขากำลังพูดถึงเรื่องอะไร ดังนั้นจึงมีการฉายคลิปวีดีโอนั้นซ้ำอีกครั้ง คราวนี้ทุกคนไม่ต้องนับแล้ว และให้สังเกตว่าเห็นอะไร ไม่นานทุกคนก็พบคำตอบ เพราะพอคลิปวีดีโอฉายได้ไม่ถึง ๓๐ วินาที ก็มีคนแต่งชุดกอริลล่าเดินเข้ามากลางวงปะปนอยู่กับทั้งสองทีม แถมยังหันหน้าให้กล้อง และตบอกก่อนที่จะเดินจากไป

    “กอริลล่า”นั้นปรากฏกลางจอนาน ๙วินาที แต่เกือบครึ่งของผู้ชมมองไม่เห็นเลย ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น คำตอบก็คือ เมื่อใจเราจดจ่ออยู่กับอะไรสักอย่าง มีแนวโน้มที่เราจะมองไม่เห็นสิ่งที่ไม่คาดคิด ทั้ง ๆ ที่มันอยู่ต่อหน้าเราแท้ ๆ

    มีการทดลองทำนองนี้อยู่หลายครั้ง โดยนักวิชาการคนละกลุ่ม คราวหนึ่งเปลี่ยนจากคนเล่นบาสเกตบอล มาเป็นตัวอักษรสีขาวและสีดำ คนดูเพียงแต่นับอักษรสีขาวที่เคลื่อนมาแตะริมจอคอมพิวเตอร์ ไม่ต้องสนใจสีดำ ปรากฏว่าร้อยละ๓๐ มองไม่เห็นกากบาทสีแดงที่เคลื่อนมากลางจอ ทั้ง ๆ ที่สีแดงเป็นสีที่โดดเด่น ต่างจากกอริลลาสีดำซึ่งเป็นสีเดียวกับของอีกทีมหนึ่งที่โยนบาสเกตบอลในการทดลองก่อนหน้านั้น

    มีการทดลองอีกครั้งหนึ่งซึ่งเชื่อมโยงกับการเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์โดยตรง คราวนี้กำหนดให้อาสาสมัครขับรถโดยใช้เครื่องคอมพิวเตอร์จำลองสถานการณ์จริง (simulator) ทุกคนได้รับโจทย์ว่า เมื่อถึงสี่แยก ให้มองหาลูกศรสีน้ำเงินซึ่งชี้ว่าให้เลี้ยวไปทางไหน ทั้งนี้ไม่ต้องสนใจลูกศรสีเหลือง ขณะที่รถวิ่งมากลางสี่แยก ก็ให้รถมอเตอร์ไซค์อีกคันหนึ่งแล่นสวนมาแล้วหยุด การทดลองพบว่า หากคนขับมอเตอร์ไซค์สวมเสื้อสีน้ำเงินซึ่งเป็นสีเดียวกับลูกศรที่ต้องมอง คนขับรถเก๋งจะสังเกตเห็นและหยุดทัน แต่ถ้าคนขับมอเตอร์ไซค์สวมเสื้อสีเหลือง ร้อยละ ๓๖ จะพุ่งขับชน โดยที่บางคนไม่ได้แตะเบรกเลยด้วยซ้ำ
    การทดลองเหล่านี้ชี้ให้เห็นชัดเจนว่า คนเรามิได้เห็นทุกอย่างที่อยู่ต่อหน้า หากเป็นสิ่งที่ไม่คาดหวังว่าจะเจอหรือไม่อยู่ในความสนใจ ก็มีแนวโน้มที่จะมองไม่เห็น นั่นหมายความต่อไปว่า สิ่งที่เราไม่เห็น ก็ไม่ได้แปลว่าสิ่งนั้นไม่มี ดังนั้นจึงอย่าเชื่อสายตาของเรามากนัก เพราะมันมีข้อจำกัดมากมาย

    บ่อยครั้งที่ผู้คนทะเลาะกันเพราะเชื่อสายตาของตนมากไป แต่ถ้าเราไม่ยึดมั่นสำคัญหมายว่าสิ่งที่เราเห็นเท่านั้นที่เป็นความจริง เราคงจะทะเลาะกันน้อยลง และฟังกันมากขึ้น
    :- https://visalo.org/article/Image255412.htm
     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,307
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,085
    ใจกว้าง
    ภาวัน
    “ผมไม่ชอบคุณ.....แต่ผมจะยืนหยัดเพื่อคุณ”

    ผู้ที่พูดประโยคนี้คือ วิลเลียม คับเลนทซ์ (William Coblentz) อธิการบดีแห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ส่วนคนที่เขาพูดด้วยก็คือ เอลดริดจ์ คลีฟเวอร์ (Eldridge Cleaver) ผู้นำแห่งพรรคเสือดำ อันลือเลื่อง ซึ่งมีความคิดหัวรุนแรงและสนับสนุนการปฏิวัติด้วยอาวุธ

    ในปี ๑๙๖๖ หลังจากที่ออกจากคุก คลีฟเวอร์ได้รับเชิญให้ไปสอนที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตเบิร์คลีย์ ในขณะที่นักคิดหัวรุนแรงคนอื่น ๆ ทั้งที่เป็นฝ่ายซ้ายและคอมมิวนิสต์ เช่น เฮอเบิร์ต มาร์คิวส์ แองเจลา เดวิส ได้รับเชิญให้ไปสอนที่วิทยาเขตซานดิอาโก ของมหาวิทยาลัยเดียวกัน

    เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความไม่พอใจแก่ผู้คนเป็นอันมาก โดยเฉพาะโรนัลด์ เรแกน ซึ่งเป็นผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียในเวลานั้น มีความพยายามจากหลายฝ่ายเพื่อกดดันมหาวิทยาลัยให้เชิญคนเหล่านั้นออกไป เรแกนถึงกับพูดว่า “ถ้าเอลดริดจ์ คลีฟเวอร์ ได้รับอนุญาตให้สอนลูกหลานของเรา คงมีสักคืนหนึ่งที่พวกเขากลับมาบ้านแล้วเชือดคอพวกเรา”

    แม้คับเลนทซ์จะมิได้รู้เห็นกับการเชิญคนเหล่านี้มาสอนในมหาวิทยาลัยของเขา แต่เขาเห็นว่าสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเป็นเรื่องสำคัญ เขาเองไม่เห็นด้วยกับความคิดทางการเมืองของเอลดริดจ์ แต่ก็เห็นว่าเอลดริดจ์มีสิทธิที่จะมีความคิดแบบสุดโต่ง เขาจึงเมินเฉยเสียงกดดันจากทุกสารทิศ และไม่หวั่นไหวต่อคำวิพากษ์วิจารณ์ของเรแกน

    อันที่จริงคับเลนทซ์มีเหตุผลที่ไม่ชอบเอลดริดจ์ เนื่องจากเขามีความประพฤติส่วนตัวที่ไม่สู้ดีนัก แต่เห็นว่าเขามีสิทธิที่จะสอนในมหาวิทยาลัยตราบเท่าที่เขาไม่ปลุกระดมหรือ “เผยแพร่ศาสนาของเขา”ในชั้นเรียน ดังนั้นคับเลนทซ์จึงพร้อมที่จะยืดหยัดปกป้องสิทธิของเอลดริดจ์อย่างเต็มที่

    คับเลนทซ์เป็นตัวอย่างของคนที่แยกแยะอย่างชัดเจนระหว่างความชอบส่วนตัวกับหลักการหรือความถูกต้อง เขาไม่เอาความรู้สึกส่วนตัวมาบดบังสำนึกในเรื่องความถูกต้อง ความถูกต้องในกรณีนี้ก็คือสิทธิเสรีภาพในความคิดความเชื่อและการแสดงความคิดเห็น แม้จะคิดเห็นต่างกันเพียงใด เขาก็ใจกว้างพอที่จะยอมรับความคิดต่าง และพร้อมที่จะปกป้องสิทธิที่จะคิดต่างด้วย แม้ว่าการกระทำเช่นนั้นจะทำให้เขาเดือดร้อนก็ตาม

    ทุกวันนี้ใคร ๆ ก็พูดถึงสิทธิเสรีภาพที่ตนจะแสดงความคิดเห็นอะไรก็ได้ แต่พอได้ยินได้ฟังใครที่คิดต่างจากตน ก็มักจะขุ่นเคืองใจหรือโกรธเขาขึ้นมาทันที อาจถึงกับกล่าวหา ด่าประณาม หรือติดฉลากใส่ยี่ห้อให้เขาทันที ถ้าเป็นความคิดเห็นที่แสลงหูมาก ๆ ก็จะพยายามสกัดกั้นความคิดเห็นนั้น ๆ หรือสนับสนุนให้มีการปิดกั้นความคิดดังกล่าว

    การคิดต่างกันเป็นเรื่องธรรมดา ทำไมเราจะต้องเกลียดกันด้วยหากคิดไม่เหมือนกัน ในสังคมที่อารยะ การเคารพความคิดเห็นของกันและกันเป็นสิ่งจำเป็น แต่หากเราไม่สามารถเคารพความคิดเห็นของคนอื่นได้ คือมีความรู้สึกดูถูกเหยียดหยามอยู่ในใจ อย่างน้อยก็น่าจะเคารพสิทธิในความคิดเห็นดังกล่าวของเขา ไม่กล่าวประณามที่เขาคิดต่างจากเรา กดดันบีบคั้นให้เขาหยุดแสดงความคิดเห็นหรือเปลี่ยนความคิด นอกจากไม่ควรทำเช่นนั้นแล้ว ยังควรปกป้องสิทธิที่เขาจะแสดงความคิดเห็นดังกล่าวด้วย หากไม่ไปละเมิดสิทธิของใคร

    ความคิดของใคร ใคร ๆ ก็หวงแหน อยากปกป้องและรักษามันเอาไว้ ไม่อยากให้มีอะไรมากระทบกระทั่งหรือท้าทาย แต่ก็อย่าให้มันกลายเป็นนายเราจนสามารถสั่งให้เราด่าประณามคนที่คิดต่างจากมัน เราอาจคิดว่ากำลังทำสิ่งที่ถูกต้อง แต่แท้จริงกำลังทำเพราะความยึดติดถือมั่นในความคิด “ของกู”มากกว่า เมื่อยึดว่าความคิด “ของกู”ถูกต้องเสียแล้ว ก็สามารถทำอะไรได้ทั้งนั้น รวมทั้งทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องด้วย

    ปุถุชนย่อมมีความชอบ ความชัง และยังมีความยึดมั่นใน “ตัวกู ของกู”อยู่ แต่ถ้ารู้ทันมัน และตระหนักชัดในหลักการแล้ว ก็สามารถยืนหยัดเพื่อความถูกต้องได้ น่าคิดว่าสังคมไทยจะสงบสุขและก้าวไกลเพียงใดหากผู้คนใจกว้างพอที่จะพูดว่า “ถึงฉันจะไม่ชอบคุณ.....แต่ฉันก็จะยืนหยัดเพื่อคุณ”
    :- https://visalo.org/article/Image255404.htm


     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,307
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,085
    ก้าวข้ามเหตุผล
    ภาวัน

    ลูกชายเป็นห่วงแม่วัย ๙๐ จึงพยายามควบคุมอาหารของแม่ แม่จึงบอกลูกด้วยเสียงอ่อย ๆ ว่า แม่ชอบข้าวขาหมู มันเชื่อมใส่กะทิแม่ก็ชอบ แม่อยู่ได้อีกไม่นาน ให้แม่กินเถอะ ต่อมาลูกชวนแม่เข้าวัดปฏิบัติธรรมเพื่อเตรียมตัวเตรียมใจในวาระสุดท้าย แต่แม่ปฏิเสธ โดยให้เหตุผลว่าเอาไว้วันหลังเถอะ แม่ยังอยู่ได้อีกหลายปี

    คนเราดูเหมือนมีเหตุผลในการทำหรือไม่ทำอะไรสักอย่าง แต่บ่อยครั้งเหตุผลนั้นเป็นเพียงแค่สิ่งที่อารมณ์หรือความรู้สึกเสกสรรค์ปั้นแต่งขึ้นมา จึงไม่น่าแปลกใจที่เหตุผลของคน ๆ หนึ่ง แม้จะดูน่าฟัง แต่บางทีก็ขัดกันเอง ดังเช่นเหตุผลของแม่วัย ๙๐ ผู้นี้ แต่ถ้าพิจารณาให้ดีก็จะพบว่า เหตุผลทั้งสองประการนั้นล้วนมีเป้าหมายเดียวกัน คือเพื่อตอบสนองความพึงพอใจ (หรือ"กิเลส")ของผู้พูด

    คุณแม่วัย ๙๐ อาจไม่ได้เชื่อเหตุผลที่ตนยกขึ้นมา เพราะรู้อยู่แก่ใจว่ามันเป็นข้ออ้าง แต่คนจำนวนไม่น้อยเชื่อเหตุผลที่ตนคิดขึ้นมาจริง ๆ โดยไม่ได้ตระหนักว่ามันเป็นแค่สิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมาเพื่อสนองความต้องการของกิเลส หลายคนให้เหตุผลว่า จำเป็นต้องคอร์รัปชั่นเพื่อความอยู่รอด และที่สำคัญก็คือ"ถึงฉันไม่ทำ คนอื่นก็ทำอยู่ดี" แต่เวลาเจอคนเป็นลมอยู่ต่อหน้าท่ามกลางผู้คนที่พลุกพล่าน กลับเดินผ่านอย่างไม่ไยดี เหตุผลที่ไม่ช่วยเขาก็คือ "ถึงฉันไม่ทำ คนอื่นก็ทำอยู่ดี" ประโยคเดียวกันสามารถเป็นได้ทั้งเหตุผลในการทำชั่วและไม่ทำความดีในเวลาไล่ ๆ กัน แม้เหตุผลนั้นจะดูดี แต่โดยเนื้อแท้มันก็เป็นเพียงแค่อุบายที่ชักจูงให้เราทำตามอำนาจของกิเลสอย่างไม่รู้ตัว

    เหตุผลยังเป็นเครื่องมือในการกล่าวโทษผู้อื่นและปกป้องตนเอง เวลาลูกเดินสะดุดหนังสือที่พ่อวางทิ้งไว้บนพื้น พ่อต่อว่าลูกทันทีว่า "ซุ่มซ่าม" แต่เวลาที่พ่อเดินสะดุดของเล่นของลูก แทนที่พ่อจะยอมรับว่าตนซุ่มซ่าม กลับตำหนิลูกว่าวางของเล่นไม่เป็นที่ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น พ่อมีเหตุผลที่จะยืนยันว่าฉันถูก คนอื่นต่างหากที่ผิด เหตุผลนั้นทำให้พ่อรู้สึกว่าตัวเองถูกอยู่เสมอ และนั่นคือสิ่งที่อัตตาต้องการ วิสัยของอัตตานั้นยอมรับได้ยากว่ามันทำผิด จึงต้องสรรหาเหตุผลเพื่อโยนความผิดให้ผู้อื่นอยู่เสมอ

    เป็นเพราะไม่รู้เท่าทันอุบายของกิเลสหรืออัตตา ผู้คนจึงใช้เหตุผลในการกล่าวหาและโจมตีกัน แม้บางครั้งจะไม่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องเลย แต่เพียงแค่ต้องการยืนยันว่าฉันถูก แกผิด เท่านี้ก็มากพอที่จะทำให้อีกฝ่ายลุกขึ้นมาตอบโต้เพื่อยืนยันความถูกต้องของตนเช่นเดียวกัน ผลก็คือต่างฝ่ายต่างโกรธเคืองหนักขึ้นและสรรหาเหตุผลมาโจมตีให้เจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม ทั้งหมดนี้แม้จะทำในนามของความถูกต้อง แต่แท้จริงก็คือสาดอารมณ์ร้อนเข้าใส่กันเพื่อเอาชนะอีกฝ่าย ตราบใดที่ทุกฝ่ายคิดแต่จะใช้เหตุผล มุ่งเอาถูกเอาผิด จนมองข้ามอารมณ์ทั้งของตนเองและของผู้อื่น ก็ยากที่จะลงเอยอย่างสันติได้ แม้กระทั่งในระหว่างคู่รักหรือมิตรสหาย ก็อาจวิวาทบาดหมางจนกลายเป็นศัตรูกัน

    แทนที่จะมุ่งกล่าวโทษผู้อื่น เราควรหันกลับมามองตนและรู้เท่าทันอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจตน หากปล่อยให้อัตตาครอบงำ มันก็สามารถสรรหาเหตุผลเพื่อทิ่มแทงคนอื่นได้ตลอดเวลา หรือไม่ก็ผลักไสให้เราทำทุกอย่างเพื่อสนองความยิ่งใหญ่ของมัน เช่นเดียวกับกิเลสที่ชักใยให้เราทำอะไรก็ได้เพื่อปรนเปรอมัน การรู้เท่าทันอัตตาและกิเลส ทำให้เราไม่หลงเชื่อเหตุผลที่มันเสกสรรปั้นแต่งขึ้นมาจนกลายเป็นเครื่องมือของมัน

    เคยสังเกตหรือไม่ว่า คำพูดประโยคเดียวกัน หากเอ่ยโดยคนที่เราศรัทธานับถือหรือสนิทสนมคุ้นเคย เราจะเปิดใจรับหรือคล้อยตามได้อย่างง่ายดาย แต่หากมาจากปากของคนที่เราไม่ชอบหรือโกรธเกลียด เรากลับต่อต้าน เห็นแย้ง หรือหาเหตุผลโต้เถียงทันที อะไรทำให้เรามีปฏิกิริยาแตกต่างกัน คำตอบก็คือความรู้สึกของเราต่อสองคนนั้นไม่เหมือนกัน คนหนึ่งนั้นเราชอบ อีกคนหนึ่งเราชัง พูดง่าย ๆ คือ มีอคตินั่นเอง ดังนั้นปัญหาจึงไม่ได้อยู่ที่ว่า คำพูดของเขามีเหตุผลมากน้อยเพียงใด แต่อยู่ที่อคติของเราต่อเขามากกว่า ไม่ว่าจะเป็นฉันทาคติ หรือโทสาคติก็ตาม

    นอกจากการรู้เท่าทันอารมณ์และอคติของตัวเองแล้ว การเข้าใจอารมณ์และอคติของอีกฝ่ายก็สำคัญ เมื่อมีความขัดแย้งกัน แทนที่จะใช้แต่เหตุผลอย่างเดียว การใส่ใจกับอารมณ์ของอีกฝ่าย ก็เป็นสิ่งที่พึงกระทำ คนสองคนหากเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน ใช้เหตุผลเท่าใดก็ไม่ช่วยให้เลิกทะเลาะกัน แต่หากหยิบยื่นน้ำใจไมตรีให้แก่กัน ก็ง่ายที่จะหันหน้าเข้าหากัน คนที่มีรั้วบ้านอยู่ติดกันนั้น สามารถทะเลาะกันได้ทุกเรื่อง ไม่เว้นแม้กระทั่งเรื่องเล็ก ๆ เช่นหมาเห่าเสียงดัง หรือใบไม้ปลิวไปตกอีกบ้านหนึ่ง แต่พออีกฝ่ายแสดงความเป็นมิตร มีของไปฝาก ไต่ถามทุกข์สุข เรื่องใหญ่ก็กลายเป็นเรื่องเล็ก

    เหตุผลสำคัญก็จริง แต่บางครั้งอารมณ์ความรู้สึกสำคัญกว่า จึงอย่ามัวหาความถูกผิดจนลืมดูแลอารมณ์ของตนและใส่ใจอารมณ์ของผู้อื่น
    :- https://visalo.org/article/Image255504.htm
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กรกฎาคม 2025 at 23:13
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,307
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,085
    พบเมื่อใด สุขใจเมื่อนั้น
    ภาวัน
    ซารูเด็กชายวัย ๕ ขวบพลัดหลงกับพี่ชายในคืนวันหนึ่ง คืนนั้นเขานั่งรถไฟมากับพี่ชาย เมื่อลงจากรถไฟเด็กน้อยเหนื่อยมาก เขาผลอยหลับไปขณะที่พี่ชายออกไปหาของกิน เมื่อตื่นขึ้นมาเขาหาพี่ชายไม่พบ ด้วยความตกใจเด็กน้อยกระโดดขึ้นรถไฟที่จอดอยู่ข้างหน้าแล้วหลับต่อมารู้ตัวอีกทีเขาก็ถึงปลายทางคือกัลกัตตา

    ซารูกลายเป็นเด็กเร่ร่อนแถวสถานีรถไฟ คุ้ยหาอาหารตามถังขยะและพื้นดิน จนมีคนมาพบและส่งเขาไปที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า มีการลงประกาศหาพ่อแม่ของเขาตามหน้าหนังสือพิมพ์ แต่ไร้ผล โชคดีที่มีคนรับเขาเป็นบุตรบุญธรรมที่ออสเตรเลีย นับแต่นั้นชีวิตเขาก็เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ

    ตั้งแต่เด็กจนหนุ่มเขาคิดถึงบ้านเกิดอยู่เสมอ แต่เขาจำอะไรแทบไม่ได้เลย รวมทั้งชื่อพ่อแม่และนามสกุลดั้งเดิมของตัว จำได้แต่สถานีรถไฟใกล้บ้านเกิดว่ามีหอเก็บน้ำ สะพาน และแม่น้ำอยู่แถวนั้น การหาบ้านเกิดจึงแทบไม่ต่างจากการหาเข็มในกองฟาง

    โชคดีที่ไม่กีปีมานี้มีGoogle Earthเกิดขึ้น เขาอาศัยโปรแกรมนี้ตามหาบ้านเกิดทางคอมพิวเตอร์ โดยเริ่มต้นที่สถานีกัลกัตตาแล้วไล่ตามเส้นทางรถไฟย้อนขึ้นไป เขาหมกมุ่นอยู่กับภาพถ่ายดาวเทียมภาพแล้วภาพเล่านานหลายปีจนในที่สุดก็ค้นพบสถานีหนึ่งซึ่งคล้ายภาพในความทรงจำของเขา

    แล้วเขาก็เดินทางไปกัลกัตตา นั่งรถไฟไปลงที่สถานีดังกล่าว แม้พูดภาษาฮินดีไม่ได้เลย แต่เมื่อยื่นภาพถ่ายวัย ๕ ขวบของเขาจากพาสปอร์ตเมื่อ ๒๕ ปีก่อน คนแถวนั้นก็จำได้ และพาเขาไปพบแม่ ทั้งสองคนตื่นเต้นดีใจมาก กอดกันตัวกลม รู้สึกเหมือนฝันเพราะไม่เคยคิดว่าจะมีวันนี้ได้

    เทคโนโลยียุคใหม่ทำให้การตามหาบ้านเกิด พ่อแม่ ลูกหลาน หรือเพื่อนที่พลัดพรากจากกันหลายสิบปี กลายเป็นสิ่งที่ง่ายดาย บางคนแค่ประกาศหาทางเฟซบุ๊คไม่กี่วันก็ประสบความสำเร็จ ดังหนุ่มชาวอังกฤษที่สามารถตามหาสามีภรรยาชาวไทยที่เคยช่วยเขาในเหตุการณ์สึนามิ โดยไม่ต้องเดินทางมาที่ภูเก็ตด้วยตนเอง
    สมัยนี้จะตามหาใครไม่ใช่เรื่องยากแล้ว แต่ที่ยังยากอยู่หรือยากกว่าเดิมก็คือ การตามหาตนเอง ผู้คนเป็นอันมากแก่ชราแล้วก็ยังตามหาตนเองไม่พบ ไม่รู้ว่าตนเองเป็นใคร อยู่เพื่ออะไร และต้องการอะไรอย่างแท้จริง

    ออรังเซ็บ กษัตริย์อินเดียราชวงศ์โมกุล ซึ่งยึดอำนาจจากบิดาคือชาห์ชะฮาน ผู้สร้างทัชมาฮาล ตลอดทั้งชีวิตทำสงครามขยายอาณาจักรจนดินแดนแผ่ไพศาล ครอบครองประชากรเกือบ ๑ ใน ๔ ของโลก และได้ชื่อว่าเป็นกษัตริย์ที่ร่ำรวยที่สุดในโลก แต่เมื่อใกล้ตายเขารำพึงด้วยความรันทดว่า “ฉันมาแล้วก็ไปอย่างคนแปลกหน้า ฉันไม่รู้ว่าฉันเป็นใคร และกำลังทำอะไรอยู่”

    มาร์คอส ซึ่งเคยเป็นประธานาธิบดีที่เรืองอำนาจของฟิลิปปินส์ เคยบันทึกด้วยความรู้สึกคล้าย ๆ กันว่า “ผมมีอำนาจมากที่สุดในฟิลิปปินส์ ผมมีทุกอย่างที่เคยใฝ่ฝัน พูดให้ถูกต้องคือ ผมมีทรัพย์สมบัติทุกอย่างเท่าที่ชีวิตต้องการ มีภรรยา ซึ่งเป็นที่รักและมีส่วนร่วมในทุกอย่างที่ผมทำ มีลูก ๆ ที่ฉลาดหลักแหลม และสืบทอดวงศ์ตระกูล มีชีวิตที่สุขสบาย ผมมีทุกอย่าง แต่กระนั้นผมก็ยังรู้สึกไม่พึงพอใจในชีวิต”

    แม้ในยามที่รุ่งเรืองถึงขีดสุด คนจำนวนไม่น้อยก็ยังไม่รู้ว่าตนต้องการอะไรอย่างแท้จริง ที่แน่ ๆ ก็คือ อำนาจและทรัพย์สมบัติที่มีมากมายนั้น หาใช่สิ่งที่ตนเองกำลังแสวงหาไม่ ถ้าเช่นนั้นมันคืออะไร หลายคนตายแล้วก็ยังไม่พบ จึงอยู่อย่างไร้สุข

    จะตามหาใครหรืออะไรก็แล้วแต่ อย่าลืมตามหาตนเองให้พบด้วย มันไม่ช่วยให้อิ่มท้องหรือหายหิวก็จริง แต่ก็ทำให้ชีวิตนี้มีความหมายและอยู่อย่างอิ่มเอมเต็มเปี่ยม
    :- https://visalo.org/article/Image255711.html
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,307
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,085
    เสียน้อยเสียยาก
    ภาวัน
    แม็กซ์ เบเซอร์แมน เป็นศาสตราจารย์คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด วันแรกของชั้นเรียน เขาชวนนักศึกษาทำกิจกรรมอย่างหนึ่งซึ่งง่ายมาก นั่นคือ ประมูลธนบัตร ๒๐ ดอลลาร์ในมือของเขา

    กติกานั้นมี ๒ ข้อเท่านั้น ข้อแรก นักศึกษาต้องเสนอราคาเพิ่มขึ้นครั้งละ ๑ ดอลลาร์ ข้อที่สอง ผู้ที่ให้ราคาสูงสุดเป็นผู้ชนะการประมูล ได้รับธนบัตรไป แต่คนที่เสนอราคามากเป็นอันดับสองจะต้องจ่ายเงินจำนวนนั้นโดยไม่ได้รับอะไรเลย

    ตอนเริ่มประมูล นักศึกษาทั้งห้องพากันยกมือเสนอราคา จาก ๑ ดอลลาร์ ตัวเลขไต่ขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อราคาประมูลมาถึง ๑๖ ดอลลาร์ หลายคนหยุดประมูล แต่ก็ยังมีคนสู้อยู่ ครั้นตัวเลขแตะ ๒๐ ดอลลาร์ การแข่งขันก็ยังดำเนินต่อไป ตัวเลขเพิ่มเป็น ๒๑, ๒๒ และ ๒๓ ดอลลาร์ แต่ก็ไม่หยุดเพียงเท่านั้น กว่าการประมูลจะสิ้นสุด ตัวเลขก็สูงถึง ๑๐๐ ดอลลาร์

    เบเซอร์แมนทำกิจกรรมนี้หลายครั้งกับคนหลายกลุ่ม มีทั้งนักศึกษาและผู้บริหารระดับสูง เขามีแต่ได้กำไร เพราะราคาประมูลเกิน ๒๐ ดอลลาร์ทุกครั้ง อีกทั้งเกินกว่าราคาจริงของธนบัตรหลายเท่าด้วย สถิติสูงสุดคือ ๒๐๔ ดอลลาร์!

    คำถามก็คือ ทำไมนักศึกษาปัญญาชนเหล่านี้จึงพากันเสนอตัวเลขที่สูงกว่าราคาธนบัตรหลายเท่าตัว เป็นเพราะเขาต้องการชนะคู่ต่อสู้เอามาก ๆ จนลืมตัวกระนั้นหรือ? ดูเผิน ๆ ก็เป็นเช่นนั้น แต่ที่จริงเป็นเพราะผู้ประมูล (ซึ่งมักจะเหลือแค่ ๒ คนเมื่อตัวเลขใกล้ ๒๐ ดอลลาร์) ไม่อยากจ่ายเงินต่างหาก เนื่องจากกติการะบุว่าคนที่เสนอราคาสูงสุดเป็นอันดับสอง นอกจากไม่ได้ธนบัตรแล้ว ยังต้องจ่ายเงินที่ตนเองเสนอด้วย ไม่มีใครอยากเป็นที่สองหรือผู้แพ้จึงต้องสู้ต่อไปเรื่อย ๆ

    แทบทุกครั้งก็ว่าได้ เมื่อราคาประมูลแตะที่ระดับ ๑๖ ดอลลาร์ ผู้ประมูลจะเหลือแค่ ๒ คน นั่นคือคนที่ให้ราคาสูงสุด และรองลงมา สองคนนี้เลิกไม่ได้ เพราะถ้าเลิกก็ต้องจ่ายเงิน คนรองจึงต้องเสนอ ๑๗ ดอลลาร์ ซึ่งบังคับให้อีกคนต้องเสนอ ๑๘ ดอลลาร์ ถ้าหากใครคนใดคนหนึ่งหยุดเพียงเท่านั้น ก็จ่ายแค่ ๑๗ หรือ ๑๘ ดอลลาร์ แต่เป็นเพราะเสียดายเงิน สุดท้ายก็ต้องจ่ายถึง ๑๐๐ หรือ ๒๐๐ ดอลลาร์

    นี้ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นในเกมดังกล่าวเท่านั้น แต่เกิดขึ้นในชีวิตจริงของผู้คนเป็นอันมาก เป็นเพราะกลัวสูญเสีย หลายคนจึงลงเอยด้วยการสูญเสียหนักกว่าเดิม เช่น คนที่หมดตัวเพราะการพนัน ใช่หรือไม่ว่าเขาทำใจไม่ได้ที่ต้องเสียเงินนับพันบาท จึงเล่นต่อ หรือแทงหนักกว่าเดิม เพราะหวังว่าจะได้เงินพันกลับคืนมา แต่สุดท้ายกลับเสียเงินหมื่น ด้วยความเสียดายเงินหมื่นจึงเล่นต่อ แล้วก็เสียเงินแสน ยิ่งเสียหนักก็ยิ่งเลิกยาก สุดท้ายจึงกลายเป็นเสียเงินล้านหรือถึงกับหมดตัว

    คนเป็นอันมากเมื่อพบว่าหุ้นของตนราคาตก ทั้ง ๆ ที่มีแนวโน้มว่าหุ้นจะตกยิ่งกว่านี้ แทนที่จะรีบขายในราคาที่ขาดทุน กลับเก็บเอาไว้ด้วยความเสียดายเงินที่หดหายไป เฝ้าแต่หวังว่าหุ้นจะราคาขึ้น ครั้นหุ้นตกลงอีก ก็ยิ่งไม่อยากขายเพราะจะขาดทุนหนักกว่าเดิม สุดท้ายหุ้นของเขากลายเป็นไร้ค่า แทนที่จะเสียแค่ล้าน ก็เสียเป็นสิบล้านหรือร้อยล้าน

    “เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย” เป็นภาษิตที่สะท้อนถึงธรรมชาติของมนุษย์ ที่กลัวการสูญเสีย จึงทำในสิ่งที่เป็นโทษแก่ตนยิ่งกว่าเดิม
    ความกลัวสูญเสียนั้นมีประโยชน์ เป็นสัญชาตญาณที่จำเป็นสำหรับมนุษย์ แต่ถ้าปล่อยให้มันครอบงำจิตใจ จนขาดสติ ปัญญาก็จะไม่ทำงาน สุดท้ายก็กลับทำให้สูญเสียหนักกว่าเดิม

    ใช่หรือไม่ว่าบางครั้งเราก็ต้องพร้อมจะสูญเสียบ้าง เพื่อจะได้ไม่สูญเสียหนักกว่าเดิม
    :- https://visalo.org/article/Image255904.html
     

แชร์หน้านี้

Loading...