มนุษย์เหนือโลกลพ.ใหญ่พ่อท่านนวลไสหร้าลป.ทวดพ่อท่านเขียวห้วยเงาะสเขาแก้ว

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 17 สิงหาคม 2022.

  1. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,465
    ค่าพลัง:
    +21,421
    kzv03.jpg

    เหรียญพระรอดภยันตรายวัดพันอ้น เชียงใหม่ ปี 13 ท่านพระครูศรีปริยัติยานุรักษ์(ครูบาไฝ)เจ้าอาวาสวัดพันอ้นในขณะนั้น และท่านอาจารย์ไสว สุมมโน เป็นเจ้าพิธีในการจัดสร้าง สุดยอดพิธีมหาพุทธาภิเษกโดยพระเกจิอาจารย์ระดับประเทศ ๑๙ รูป อันกอปรด้วย ๑.สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์วัดสามพระยา ก.ท.ม. ๒.สมเด็จพุฒาจารย์( เสงี่ยม )วัดสุทัศน์ ก.ท.ม. ๓.พระอาจารย์ไสว สุมโน วัดราชนัดดา ๔.หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม นครปฐม ๕.หลวงพ่อบุญส่ง วัดเขาบันไดอิฐ เพชรบุรี ๖.หลวงพ่อถิร วัดป่าเลไลยก์ สุพรรณบุรี ๗.หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง สิงห์บุรี ๘.หลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่ นครราชศรีมา ๙.พระธรรมโมลี วัดพระธาตุหริภุญชัย ลำพูน ๑๐.ครูบาพรหมจักร วัดพระพุทธบาทตากผ้า ลำพูน ๑๑.ครูบาชัยวงศา วัดพระพุทธบาทห้วยต้ม ลำพูน ๑๒.ครูบาอินทจักร วัดน้ำบ่อหลวง เชียงใหม่ ๑๓.ครูบาวัง วัดบ้านเด่น ตาก ๑๔.ครูบาคำแสน วัดสวนดอก เชียงใหม่ ๑๕.ครูบาคำแสนน้อย วัดดอนมูล เชียงใหม่ ๑๖.ครูบาดวงดี วัดท่าจำปี เชียงใหม่ ๑๗.ครูบาอิน วัดฟ้าหลั่ง เชียงใหม่ ๑๘.หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี ก.ท.ม และ ๑๙.ครูบาไฝ วัดพันอ้น เชียงใหม่ พุทธคุณจึงไม่ต้องพูดถึงครับ
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ให้บูชา 250 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

    IMG_20250728_095053.jpg IMG_20250728_095119.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กรกฎาคม 2025 at 15:42
  2. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,465
    ค่าพลัง:
    +21,421
    วันนี้ จัดส่ง
    1753712821672.jpg
    ขอบคุณครับ
     
  3. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,465
    ค่าพลัง:
    +21,421
    1753719434042.jpg 1753720436242.jpg 1753719540558.jpg
    เหรียญเสด็จปู่แก่ชัยเทพย์ พราหมณ์จั๊วจัดสร้างปีพ.ศ.๒๕๑๗หลวงพ่อกี๋ วัดหูช้าง และสหธรรมมิกศิษย์ร่วมครูสายสำนักวัดประดู่ทรงธรรม เมตตาปลุกเสกมากมายจัดว่าเป็นอีกเหรียญดี ปีลึก พิธีปลุกเสกเข้มขลังตามฉบับสำนักวัดประดู่ทรงธรรม
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    ประวัติ พระครูกิตตินนทคุณ(หลวงพ่อกี๋) อดีตเจ้าอาวาสวัดหูช้าง(มีคลิป)
    พระครูกิตตินนทคุณ หรือ หลวงพ่อกี๋อดีตเจ้าอาวาสวัดหูช้าง
    ท่านเป็นพระ เกจิอาจารย์
    ที่โด่งดังมากในอดีตของจังหวัดนนท์บุรี ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ผู้สร้างตำนานปลัดขิกอันเลื่องชื่อ ปลัดขิกของท่านทุกวันนี้หาได้ยากอย่างยิ่ง ผู้คนจากทั่วสารทิศล้วนทราบดีถึงจริยะวัตรอันงดงาม และความมีเมตตาของหลวงพ่อท่าน นอกจากนี้ยังเป็นที่ทราบกันดีว่า หลวงพ่อกี๋ท่านเป็นพระหมอที่มีความเชี่ยวชาญ ในการรักษาโรคต่างๆ และท่านยังสามารถทำพิธีแก้คุณไสยได้อีกด้วย
    หลวงพ่อกี๋ วัดหูช้าง นามเดิมท่านชื่อ กี๋ นามสกุลบุญใจใหญ่ โยมบิดาชื่อนายคอย โยมมารดาชื่อนางไฝ มีเชื้อสายตระกูล รัตนชื่น หลวงพ่อกี๋มีพี่น้องร่วมบิดา-มารดาเดียวกัน 13 คน ครอบครัวของท่านเป็นชาวจังหวัดนนทบุรีโดยกำเนิด ท่านเกิดเมื่อปี พ.ศ.2444 ส่วนวันที่เกิด ไม่ทราบหลักฐานแน่ชัด ต้นตระกูลของ หลวงพ่อกี๋ ทุกคนส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพเป็นหมอรักษาโรค รวมทั้งตัวของหลวงพ่อกี๋ด้วย ทำให้ต่อมาท่านได้ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้คนที่เดินทางมาให้ท่านรักษาโรคเป็นจำนวนมาก
    หลวงพ่อกี๋ ในวัยเยาว์ท่านให้ความสนใจ และศึกษาตำราการทำน้ำมนต์รักษาโรคต่างๆ โดยได้ศึกษาวิชาการทำน้ำมนต์จากคุณปู่ของท่านเอง ในสมัยนั้นคุณปู่ของท่านเก่งทางด้านการทำน้ำมนต์รักษาโรคต่างๆ กล่าวได้ว่าใครมีโรคอะไรก็จะเดินทางมาหา เนื่องจากสมัยนั้นโรงพยาบาลต่างๆ ก็ยังไม่ค่อยมีเหมือนปัจจุบัน จนต่อมาชาวบ้านต่างๆ ก็ขนานนามท่านว่าหมอบุญเทวดา ครั้นต่อมาเมื่อท่านมีอายุได้ 20 ปีบริบูรณ์โยมบิดามารดาก็จัดการอุปสมบทให้ณ พัทธสีมาวัดหูช้างตำบลคูเวียงอำเภอบางกรวยนนทบุรี
    เมื่ออุปสมบทแล้วก็จำพรรษาอยู่ที่ วัดหูช้าง หลังจากนั้น 2 พรรษาผ่านไป หลวงพ่อกี๋ ก็ได้ออกธุดงควัตรไปตามป่าเขาต่างๆ เพื่อแสวงหาความสงบวิเวกฝึกวิปัสสนากรรมฐานบำเพ็ญภาวนา หลวงพ่อกี๋ ท่านมีความมุ่งมั่นฝึกสมาธิเจริญภาวนาด้วยจิตที่ยึดมั่น และไม่ตั้งอยู่ในความประมาท จนจิตรวมเข้าสู่ฐานของสมาธิทำให้เกิดความสุขและความอิ่มเอิบ เมื่อท่านเพียรภาวนาอยู่ตามป่าตามเขาพอควรแก่เวลาแล้ว ท่านก็ออกธุดงควัตรต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งต่อมาท่านก็ได้พบกับ หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ เกจิอาจารย์ดังเจ้าของ ปลัดขิก อันลือชื่อที่เล่าขานกันว่าสามารถทวนน้ำได้หลวงพ่อกี๋ เมื่อท่านได้พบกับ หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบแล้ว ท่านก็ได้รับการถ่ายทอดเคล็ดลับการสร้างปลัดขิกจากหลวงพ่ออี๋ ของดีของหลวงพ่อกี๋นั้น นอกจากปลัดขิกดังกล่าวแล้ว ก็ยังมี ตะกรุดธงผ้ายันต์สามเหลี่ยม พระเครื่อง พระสมเด็จ กำไล เหรียญรูปเหมือนท่าน เป็นต้น หลวงปู่กี๋ท่านเป็นศิษย์ก๋งจาบ แห่งสำนักวัดประดู่ทรงธรรม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
    และยังเป็นศิษย์หลวงปู่แดง วัดตะเคียน นนทบุรี และหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ท่านเป็นศิษย์ร่วมสำนักเดียวกับหลวงปู่เทียม วัดกษัตราธิราช และหลวงพ่อแทน วัดธรรมเสน ซึ่งเกจิร่วมสำนักทั้ง 3 รูปนี้ ได้ก่อปาฏิหารย์ในคราวปลุกเสกพระที่วัดปราสาทบุญญาวาสสามเสนคือแผ่นทองแดงของพระอาจารย์ทั้ง 3 รูปหลอมไม่ละลายมาแล้วปัจจุบันนี้วิชาสร้างปลัดขิกของหลวงพ่อกี๋ วัดหูช้างได้สืบทอดมาถึงหลวงพ่อตี๋ เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานแท้ๆของท่าน ได้รับการถ่ายทอดมาโดยตรงจากหลวงพ่อกี๋ ว่ากันว่าการเขียนยันต์ของหลวงพ่อตี๋นั้น หลวงพ่อกี๋ท่านเป็นคนจับมือหลวงพ่อตี๋เขียนกันเลยทีเดียวหลวงพ่อกี๋ วัดหูช้างท่านละสังขารมรณะภาพลงเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ.2522 รวมสิริอายุได้ 78 ปี ชื่อเสียงและเกียรติคุณของหลวงพ่อกี๋ วัดหูช้าง เป็นที่กล่าวขานกันสืบมาถึงความเมตตา และวัตรปฎิบัติ ที่งดงาม สมกับเป็นพระสงฆ์ที่ปฎิบัติดี ปฏิบัติชอบ แห่งยุคอีกรูปหนึ่ง
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พราหมณ์ประสิทธิ์ เตชะวีระพงศ์ (พราหมณ์จั๊ว)
    อาจารย์ฆราวาสจอมขมังเวทย์แห่งเมืองนนท์ ผู้เป็นหนึ่งในศิษย์พุทธาคมสายตรงสำนักวัดประดู่ทรงธรรม ตักศิลาแห่งกรุงศรีอยุธยา
    ถึงแม้ว่าท่านจะไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังเหมือนศิษย์ฆราวาสอย่างอาจาย์เฮง ไพรวัลย์ แต่ท่านก็ถือได้ว่าเป็นของจริงอีกหนึ่งท่าน ที่เก่งจริง ขลังจริง แทบจะทุกครั้งที่หลวงพ่อกี๋ วัดหูช้าง จัดสร้างวัตถุมงคล จะต้องมีพราหมณ์จั๊ว เป็นเจ้าพิธีฝ่ายฆราวาส ดังเช่นที่ทุกครั้ง อาจารย์เฮง ไพรวัลย์ จะสร้างของขลัง ก็จะต้องมี หลวงปู่สีห์ วัดสะแก เป็นประธานฝ่ายสงฆ์
    อ.เฮง ไพรวัลย์ คู่กับ หลวงปู่สีห์ วัดสะแก ฉันใด
    พราหมณ์จั๊ว ก็คู่กับ หลวงพ่อกี๋ วัดหูช้าง ฉันนั้น
    พราหมณ์ประสิทธิ์ เตชะวีระพงศ์ หรือพราหมณ์จั๊ว ท่านได้รับการถ่ายทอดวิชาสายวัดประดู่ทรงธรรมมาเยอะ ท่านเป็นศิษย์เอกขนานแท้ของหลวงพ่อกี๋ วัดหูช้าง แทบจะทุกครั้งที่หลวงพ่อกี๋ จัดสร้างวัตถุมงคล จะต้องมีพราหมณ์จั๊ว เป็นเจ้าพิธีฝ่ายฆราวาส และพรามหณ์จั๊วท่านยังเป็นศิษย์เอกหลวงพ่อเทียม วัดกษัตราธิราช อีกทั้งยังมีความสนิทสนมกับหลวงพ่อบุญนาค วัดประดู่ทรงธรรม อีกด้วย

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

    IMG_20250728_230546.jpg IMG_20250728_230607.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กรกฎาคม 2025 at 00:11
  4. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,465
    ค่าพลัง:
    +21,421
    FB_IMG_1753722287737.jpg

    พระราชมงคลวชิรธรรม
    ประวัติและปฏิปทา
    หลวงปู่บุญมา คัมภีรธัมโม
    วัดป่าสีห์พนมประชาคม
    ต.บงใต้ อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร
    “หลวงปู่บุญมา คัมภีรธัมโม” ท่านถือกำเนิดตรงกับวันจันทร์ที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๗๑ แรม ๓ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีมะโรง ณ บ้านขาม ต.ค้อใต้ อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร บิดาท่านชื่อ นายเข่ง ธิอัมพร มารดาท่านชื่อ นางชาดา ธิอัมพร สำหรับบิดาของหลวงปู่บุญมาภายหลังได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบรูปหนึ่ง มีชื่อและฉายาตามพระพุทธศาสนาว่า “หลวงปู่เข่ง โฆสธัมโม” ขณะนั้นหลวงปู่บุญมาได้พรรษาที่ ๑๐ แล้ว จากนั้นจึงได้ออกธุดงค์ไปในที่ต่างๆ และบั้นปลายชีวิตหลวงปู่เข่ง ท่านได้มาอยู่ปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่บุญมา ที่วัดป่าสีห์พนมประชาคม จ.สกลนคร และได้มรณภาพลงเมื่อประมาณต้นปี พ.ศ.๒๕๓๗ ขณะมีอายุได้ ๙๐ ปี พรรษา ๓๓
    ชีวิตในวัยเด็กของหลวงปู่บุญมา ท่านได้เรียนจนจบชั้นประถมบริบูรณ์ แล้วได้ออกจากโรงเรียนมาช่วยบิดามารดาประกอบอาชีพทำนา เมื่ออายุได้ ๑๗-๑๘ ปี ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรศึกษาธรรมอยู่ได้ ๑ พรรษา ช่วงนั้นเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ (ระหว่างปี พ.ศ.๒๔๘๔-๒๔๘๘) หลังจากสึกออกมาช่วยบิดามารดาทำนานั้น ในใจท่านก็คิดเสมอว่า “ถ้ามีโอกาสเมื่อไร ก็จะรักษาศีลอุโบสถเมื่อนั้น” ท่านปฏิบัติอยู่อย่างนี้ จนเป็นที่เลื่องลือของผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านว่า ทำไมเด็กหนุ่มนี้จึงมีอุปนิสัยแตกต่างจากคนรุ่นราวคราวเดียวกัน ที่หันเหมาทางพระพุทธศาสนา เข้าวัดเข้าวารักษาศีลอุโบสถเหมือนคนเฒ่าคนแก่
    หลวงปู่บุญมาท่านได้เล่าถึงชีวิตเมื่อวัยหนุ่มว่า “เมื่อเข้าหาครูบาอาจารย์ท่านก็เทศน์ให้ฟัง ในเรื่องอานิสงส์ในการรักษาศีล ๕ และทุกข์โทษของการละเมิดผิดศีลผิดธรรมเป็นอย่างไร ก็นำมาพิจารณา และครั้นเวลาครูบาอาจารย์ชวนไปวิเวก ฝึกสมาธิ ศึกษาธรรมะ ก็สนใจปฏิบัติตาม ทำให้จิตเกิดความสงบเยือกเย็น” นับว่าท่านเป็นผู้มีวาสนาบารมีที่ส่อแววให้เห็นมาตั้งแต่เด็กๆ
    หลวงปู่บุญมาเล่าถึงสมัยชีวิตฆราวาส ได้พิจารณาความตายถึง ๓ วาระ สมัยท่านเป็นฆราวาสได้แต่งงานมีเหย้ามีเรือน ใช้ชีวิตตามวิถีชาวโลก จนมีบุตรด้วยกันหนึ่งคน เหตุการณ์หลังจากนั้นวาสนาบารมีทางธรรมท่านได้ใกล้เข้ามา จึงดลบันดาลให้เหตุการณ์กระทบอารมณ์ เป็นทุกข์อย่างหนักทางโลก ปีแรก น้องสาวท่านตาย ปีที่สองมารดาก็มาตายอีก หลวงปู่บุญมาท่านเล่าว่าตอนนั้น จิตของท่านเกิดธรรมะ ได้คิดว่า “ความตายมันได้ใกล้เข้ามาหาเรา...ถ้าเราอยู่ต่อไป ไม่กี่วันก็คงตาย ถ้าจะตาย ขอให้ไปส่งความดีก่อนตาย เพื่อจะได้เป็นที่พึ่งในอนาคต” เป็นทางออกที่ดีที่สุด ก่อนความตายจะมาถึง แต่ไม่ทันที่ท่านจะได้ออกบำเพ็ญความดีตามที่ท่านตั้งใจไว้ พายุโลกโหมกระหน่ำซ้ำเติมซ้ำสามในระยะเวลาไม่นาน ภรรยาท่านก็มาเสียชีวิตลง “ทุกข์เกิดขึ้น” เป็นทุกข์ที่ทำให้ท่านต้องตั้งคำถาม และพิจารณาปัญหาต่อไปว่า “ลูกที่่เกิดมา จะทำอย่างไร ใครจะเลี้ยงลูก”
    แล้วท่านก็พิจารณาเรื่องลูกว่า “ถึงแม้ว่าแม่จะตาย พ่อก็ยังอยู่ เด็กบางรายเกิดมาไม่กี่วันก็ตาย บางคนเดินได้ วิ่งได้ แล้วก็มาตาย แล้วแต่บุญวาสนาของแต่ละคน ไม่ถึงวันตายก็ไม่ตาย ถ้าจะให้ทานลูกแก่ผู้ต้องการ ลูกก็คงเติบใหญ่ขึ้นได้ด้วยบุญวาสนาบารมีของตนเองที่สร้างสมมาแต่ปางก่อน” ท่านคิดได้อย่างนี้ จึงยกลูกให้แก่พ่อตา แม่ยาย เป็นผู้เลี้ยงดู และตัดสินใจออกบวช ช่วงนั้นประมาณเดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๔๙๔ ใกล้เข้าพรรษาแล้ว ระหว่างช่วงจัดงานศพให้ภรรยาท่านนั้น ได้นิมนต์ หลวงปู่สิงห์ สหธัมโม ไปสวดบังสุกุล หลวงปู่สิงห์ พระอาจารย์ผู้ที่ให้ธรรมะแนะนำการปฏิบัติแก่ท่านอยู่ก่อนแล้ว ได้ถามท่านว่า “จะบวชไหม” ซึ่งท่านก็ตอบหลวงปู่สิงห์ไปว่า “บวชแน่นอนครับ” หลังจากจัดการงานศพของภรรยาเสร็จ ท่านก็ลาบิดา พ่อตา แม่ยาย เข้าไปวัดพระธาตุฝุ่น ต.ค้อใต้ อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร เพื่อรอบวชในเดือนกรกฎาคม พ.ศ.๒๔๙๔
    ท่านอุปสมบทเมื่อวันที่ ๑๐ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๙๔ เวลา ๑๔.๑๕ น. ขณะอายุได้ ๒๔ ปี ณ วัดโพธิสมภรณ์ ต.หมากแข้ง อ.เมือง จ.อุดรธานี โดยมี พระธรรมเจดีย์ (หลวงปู่จูม พันธุโล) เป็นพระอุปัชฌาย์ และพระครูสมุห์สวัสดิ์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้รับนามฉายาว่า “คัมภีรธัมโม” ซึ่งแปลว่า ผู้มีธรรมอันลึกซึ้ง
    เมื่ออุปสมบทแล้วเสร็จ ท่านได้ไปอยู่จำพรรษาศึกษาข้อวัตรปฏิปทากับหลวงปู่สิงห์ สหธัมโม วัดพระธาตุฝุ่น จ.สกลนคร ในพรรษาแรก หลวงปู่สิงห์ได้ให้ท่านฝึกปฏิบัติสมาธิภาวนาขนานใหญ่ ขนาดยอมอดนอน ไม่ยอมหลับในตอนกลางคืน ช่วงเข้าพรรษาตลอด ๓ เดือน พระเณรที่อยู่ด้วยต้องยืน เดิน นั่ง ๓ อิริยาบถตลอดทั้งคืน ห้ามนอนเวลากลางคืน จึงทำให้ได้รับผลจากการภาวนามากตลอดพรรษา
    พอพรรษาที่ ๒ พระบุญมา จิตท่านเกิดฟุ้งซ่านอยากจะสึก ครั้นเมื่อออกพรรษาแล้ว หลวงปู่สิงห์ สหธัมโม จึงได้ให้ท่านไปหาหลวงปู่ขาว อนาลโย ซึ่งขณะนั้นท่านอยู่ที่ถ้ำค้อ อ.ศรีธาตุ จ.อุดรธานี ห่างจากวัดถ้ำฝุ่นไป ๒๐-๓๐ กิโลเมตร เมื่อไปถึงถ้ำค้อ ที่หลวงปู่ขาว อนาลโย ท่านพำนักจำพรรษาอยู่ พระบุญมาได้เข้าไปกราบคารวะ หลวงปู่ขาวจึงได้พูดขึ้นว่า “ทำไมถึงอยากสึก แยกจิตออกนอกทำไม” พระบุญมาท่านยังไม่ทันตอบ หลวงปู่ขาวก็พูดต่อไปอีกว่า “ออกก็ออกมาจากที่นั่น จะเข้าไปที่เดิม มันถูกรึ” หลวงปู่ขาวท่านรู้วาระจิต จากนั้นก็อบรมสั่งสอนให้ท่านอยู่ป่าเป็นวัตร อยู่กับช้าง กับเสือ กับผีสาง เป็นการให้มีสติอยู่กับตนไป ไม่ให้ฟุ้งซ่านส่งจิตออกไปไหน” หลวงปู่บุญมา ท่านเล่าว่า “ช่วงนี้กลัวมาก ถึงสวดมนต์อย่างไรก็กลัว กลัวตาย ช่วงที่อยู่กับหลวงปู่ขาว อนาลโย จึงตั้งใจบำเพ็ญเพียรภาวนาตามคำสอนขององค์ท่าน ปรากฏผลดีมาก จิตใจสบาย วิเวกดี จิตไม่ปรุงแต่งอะไร ไม่ออกไปสร้างบ้านสร้างเรือน สร้างครอบครัวอีก เพราะกลัวตาย คนกลัวตายต้องหาที่พึ่ง ถ้าได้ที่พึ่งทางจิตแล้วสบาย ไม่กลัวตายต่อไปอีกแล้ว”
    ครั้นออกพรรษาได้จาริกธุดงค์เข้ากราบรับข้ออรรถข้อธรรมจากพระเถระผู้ใหญ่ ศิษย์ในองค์หลวงปู่ใหญ่มั่น ภูริทัตโต หลายองค์ อาทิ หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล จ.หนองบัวลำภู, หลวงปู่หลุย จันทสาโร วัดถ้ำผาบิ้ง จ.เลย และหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ วัดป่านิโครธาราม จ.อุดรธานี เป็นต้น และได้จาริกธุดงค์ร่วมกันกับ หลวงปู่คำบุ ธัมมธโร ซึ่งเป็นพระอาจารย์รูปสำคัญของท่าน ออกวิเวกตามสถานที่ต่างๆ ไปยังป่าช้าง ป่าเสือ ฝึกจิตตามป่าตามเขาโถงถ้ำ ไปในที่ๆ ขึ้นชื่อว่าอาถรรพณ์ผีดุ เปลี่ยนที่จำพรรษาไปเรื่อยๆ ไม่ติดถิ่น ทั้งที่กันดารห่างไกลจากบ้านจากเรือนสลับกับการไปฝึกอบรมยังสำนักของพ่อแม่ครูอาจารย์ ซึ่งเป็นระยะเวลายาวนานถึง ๒๙ พรรษา
    เริ่มจำพรรษาที่ วัดป่าสีห์พนมประชาคม บ้านหนองกุง ต.บงใต้ อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร ในพรรษาที่ ๒๐ เป็นพรรษาแรก ตรงกับปี พ.ศ.๒๕๑๔ จากนั้นจึงออกจาริกธุดงค์ไปจำพรรษาในที่ต่างๆ แล้วเมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๓ หลวงปู่บุญมาท่านก็กลับมาจำพรรษาอยู่ที่ วัดป่าสีห์พนมประชาคม มาโดยตลอดจวบจนกระทั่งปัจจุบัน
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    สมเด็จหลวงปู่บุญมาอายุ๗๒ ปี ยุคเก่า

    ให้บูชา 250 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250729_000233.jpg IMG_20250729_000303.jpg
     
  5. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,465
    ค่าพลัง:
    +21,421
    1753794806591.jpg

    " ร่วมด้วยช่วยกันเผยแพร่บารมีหลวงปู่ครับ "
    พระครูวิมลพุทธิสาร (หลวงปู่มั่ง พุทธสโร)
    .
    ชาติภูมิ
    .
    นามเดิมชื่อ มั่ง นามสกุล กริดรัมย์ เกิดเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2451 ตรงกับวันแรม 11 ค่ำ เดือน 2 ปีวอก เกิดที่บ้านหนองปรือ ตำบลสวายจีก อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นบุตรของพ่อไทย-แม่มัย กริดรัมย์ มีพี่น้องรวมทั้งหมด 7 คน
    .
    1. นายบิ กริดรัมย์
    2. นางเต็บ กริดรัมย์
    3. นางเง็บ กริดรัมย์
    4. นายเพก กริดรัมย์
    5. นางแมง กริดรัมย์
    6. นางเมียน กริดรัมย์
    7. หลวงปู่มั่ง กริดรัมย์
    .
    การศึกษา

    - จบชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนบ้านหนองปรือ
    - จบนักธรรมชั้นตรี ที่สนามสอบจังหวัดบุรีรัมย์
    - หลวงปู่มั่ง สามารถอ่านและเขียนภาษาขอมได้อย่างคล่องแคล่ว
    .
    การบรรพชา
    .
    ได้บรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุได้ 18 ปี ที่วัดบ้านหนองปรือได้ 2 ปี แล้วก็ลาสิกขาไปทำงานช่วยครอบครัว ซึ่งมีฐานะยากจนเป็นเวลา 2 ปี
    .
    การอุปสมบท
    .
    ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2473 โดยมีพระครูอมรวรปัญญา เป็นพระอุปัชฌาย์ มีพระครูธีรคุณาธาร เป็นพระกรรมวาจาจารย์ มีพระอธิการเสน เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมื่ออุปสมบทแล้ว จำพรรษาที่วัดบ้านหนองปรือได้ 2 พรรษา หลังจากนั้นได้ย้ายไปจำพรรษาอยู่ที่วัดบ้านพลวง 4 ปี แล้วกลับมาจำพรรษาที่วัดบ้านหนองปรือจนถึง ปี 2495 ก็ได้ย้ายมาจำพรรษาที่วัดบ้านตาแผ้ว
    ตำแหน่งทางคณะสงฆ์
    .
    พ.ศ. 2500 รักษาการเจ้าอาวาสวัดบ้านตาแผ้ว
    28 มิถุนายน 2526 ได้รับแต่งตั้งดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบ้านตาแผ้ว
    5 ธันวาคม 2532 ได้รับพระราชทานแต่งตั้งเป็นพระครูสามัญชั้นโท “พระครูวิมลพุทธิสาร”
    .
    เป็นศิษย์ผู้ประเสริฐของอาจารย์
    .
    หลวงปู่มั่ง เป็นศิษย์เอกที่ประเสริฐที่สุดของหลวงปู่ด่อน วัดบ้านหนองปรือ ตำบลสวายจีก เนื่องจากท่านได้เดินธุดงคสถานไปปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานในสถานที่ต่างๆ กับหลวงปู่ด่อน เช่นที่ เขากระโดง เป็นต้น ทั้งยังได้ไปเข้าปริวาสกรรมกับพระเกจิอาจารย์ดัง อีกหลายท่าน เช่น หลวงปู่สาม อากิญจโณ หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ หลวงปู่ฤทธิ์ รัตนโชโต หลวงปู่เจียม อติสสโย เป็นต้น
    .
    เป็นพระเกจิอาจารย์ดังของอีสานใต้
    .
    หลวงปู่มั่ง เป็นพระเกจิอาจารย์ดังของอีสานใต้ที่มีคนเคารพนับถือและศรัทธาเลื่อมใสมากในแถบอีสานใต้ โดยเฉพาะจังหวัดบุรีรัมย์ หลวงปู่มั่งได้มีโอกาสร่วมปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานกับพระเกจิอาจารย์แถบอีสานใต้อีกหลายรูป เช่น
    หลวงปู่ด่อน วัดบ้านหนองปรือ หลวงปู่สุรินทร์ วัดเมืองดู่ หลวงปู่เหม้า วัดบ้านโคกเหล็ก หลวงปู่พา วัดบ้านยาง (วัดโพธิ์ทองบ้านยาง) หลวงปู่ต๊ะ วัดบ้านใหม่ หลวงปู่ทองพูน วัดบ้านเมืองโพธิ์ หลวงปู่สาม หลวงปู่หงษ์ หลวงปู่ฤทธิ์ หลวงปู่เจียม เป็นต้น
    .
    งานสาธารณะประโยชน์
    .
    เป็นประธานดำเนินการก่อสร้างโรงเรียนบ้านตาแผ้ว (โรงเรียนวิมลวิทยา)
    สนับสนุนงบประมาณก่อสร้างโรงอาหาร สร้างอาคารเรียน สร้างบ้านพักครู สร้างรั้วคอนกรีตโรงเรียน ซุ้มประตูโรงเรียน ในตำบลหลักเขตจำนวนหลายแห่ง
    สนับสนุนงบประมาณก่อสร้าง วัดบ้านตาแผ้ว วัดทุ่งหัวช้าง (อำเภอลำปลายมาศ) วัดบ้านหนองปรือ วัดเขาดิน (อำเภอพลับพลาชัย) วัดบ้านเสม็ด วัดบ้านหลักเขต วัดโพธิ์ทองสวายจีก เป็นต้น
    บริจาคเงินสร้างศาลาประจำหมู่บ้าน เช่น บ้านตาแผ้ว บ้านปริงเปน บ้านหลักเขต บ้านหนองปรือน้อย บ้านโคกเมือง บ้านหนองไผ่ บ้านโคกเก่า เป็นต้น
    สนับสนุนการสร้างถนน เช่น ตำบลสวายจีกเชื่อมตำบลหลักเขต บ้านหนองไผ่เชื่อมบ้านตาราม บ้านปริงเปนเชื่อมบ้านตาแผ้ว บ้านหนองไผ่เชื่อมบ้านถาวร บ้านตาแผ้วเชื่อมบ้านหนองไผ่ บ้านตาแผ้วเชื่อมบ้านหลักเขต เป็นต้น
    .
    หลวงปู่มั่งเป็นพระผู้ให้
    .
    ท่านเป็นพระภิกษุที่มีความอดทน มีความขยันขันแข็ง เสียสละ เป็นมิตรกับทุกคน ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น อ่อนน้อมถ่อมตน มีความอุตสาหะและรับผิดชอบงานในหน้าที่หรืองานพิเศษใดที่ได้รับมอบหมาย อุทิศตนให้กับงานอย่างเต็มความสามารถ ส่งผลให้งานทุกงานประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดียิ่ง ถือเป็นแบบอย่างพระเกจิอาจารย์แห่งบุคคลที่ประเสริฐยิ่ง เป็นพระที่มีแต่ให้กับให้ จึงเป็นที่เคารพนับถือ ศรัทธาน่าเลื่อมใส และมีลูกศิษย์มากมาย
    .
    วาระสุดท้าย
    .
    หลวงปู่มั่ง เป็นพระภิกษุที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงมาโดยตลอด ไม่ค่อยเจ็บป่วย แต่เมื่อประมาณเดือนสิงหาคมปี 2545 ท่านอาพาธด้วยโรคชรา และมีอาการแทรกซ้อนหลายอย่าง ลูกศิษย์ได้นำท่านไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลเอกชนบุรีรัมย์และโรงพยาบาลบุรีรัมย์หลายครั้ง
    .
    ต่อมาเมื่อวันจันทร์ที่ 3 มีนาคม 2546 หลังจากกลับจากโรงพยาบาลและพักรักษาอยู่ที่วัดได้ 5 วัน โดยมีแพทย์มาถวายการรักษาตลอดเวลา แต่ด้วยอาการแทรกซ้อนหลายอย่าง ทำให้เหลือวิสัยที่แพทย์จะรักษาช่วยเหลือไว้ได้ ท่านจึงได้มรณภาพไปด้วยอาการสงบ เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2546 เวลา 11 นาฬิกา 43 นาที สิริอายุได้ 95 ปี 1 เดือน 25 วัน รวม 73 พรรษา
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระผงรูปเหมือนหลวงพ่อมังบ้านตาแพว ๒๕๓๘

    ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250728_234657.jpg IMG_20250728_234725.jpg IMG_20250728_234623.jpg
     
  6. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,465
    ค่าพลัง:
    +21,421
    1753798129977.jpg 1753797343874.jpg 1753797333747.jpg
    พระสมเด็จวัดพระธาตุเสด็จปี ๒๕๑๘ หายากมากๆครับ ของดีปีลึกหลวงพ่อเกษมเขมโกปลุกเสกไว้ ของดีปีลึกนานๆจะได้มาครับหลวงพ่อเกษม เขมโกหลวงพ่อเกษม เขมโก สำนักสุสานไตรลักษณ์ จ.ลำปาง พระผู้ทรงอภิญญาบารมี ตนบุญแห่งลานนาไทย ท่านได้สละตำแหน่งเจ้าอาวาส เดินทางมุ่งหน้าสู่สุสานป่าช้า สถานที่ที่ท่านใช้ปฏิบัติธรรมตลอดอายุขัยของท่าน หลวงพ่อเป็นพระอริยะสงฆ์ที่มีวัตรปฏิบัติพระสมเด็จวัดพระธาตุเสด็จปี2518หายากมากๆครับของดีปีลึกหลวงพ่อเกษมเขมโก
    พระสมเด็จวัดพระธาตุเสด็จปี๒๕๑๗ หายากมากๆครับ ของดีปีลึกหลวงพ่อเกษมเขมโกปลุกเสกไว้ ของดีปีลึกนานๆจะได้มาครับหลวงพ่อเกษม เขมโกหลวงพ่อเกษม เขมโก สำนักสุสานไตรลักษณ์ จ.ลำปาง พระผู้ทรงอภิญญาบารมี ตนบุญแห่งลานนาไทย ท่านได้สละตำแหน่งเจ้าอาวาส เดินทางมุ่งหน้าสู่สุสานป่าช้า สถานที่ที่ท่านใช้ปฏิบัติธรรมตลอดอายุขัยของท่าน หลวงพ่อเป็นพระอริยะสงฆ์ที่มีวัตรปฏิบัติและปฏิปทาที่ควรแก่การกราบไหว้สักการะบูชาเป็นอย่างยิ่ง วัตถุมงคลที่ท่านอธิษฐานจิตล้วนแล้วแต่ทรงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์และเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งความบริสุทธิ์แห่งมหาพุทธานุภาพ ซึ่งสร้างประสบการณ์มากมายให้กับผู้ที่ใช้บูชา วัตถุมงคลของท่านจึงเป็นของดีที่เป็นที่ต้องการของลูกศิษย์ลูกหาและประชาชนทั่วไปครับพระดีมีคุณค่าน่าบูชาสะสมมากครับและปฏิปทาที่ควรแก่การกราบไหว้สักการะบูชาเป็นอย่างยิ่ง วัตถุมงคลที่ท่านอธิษฐานจิตล้วนแล้วแต่ทรงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์และเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งความบริสุทธิ์แห่งมหาพุทธานุภาพ ซึ่งสร้างประสบการณ์มากมายให้กับผู้ที่ใช้บูชา วัตถุมงคลของท่านจึงเป็นของดีที่เป็นที่ต้องการของลูกศิษย์ลูกหาและประชาชนทั่วไปครับพระดีมีคุณค่าน่าบูชาสะสมมากครับ

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระสมเด็จหลังพระธาตุ ปลุกเสกพร้อม เหรียญระฆัง ปี ๒๕๑๘
    ให้บูชา 250 บาทครับค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250729_000337.jpg IMG_20250729_000357.jpg
     
  7. shaj

    shaj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    8,287
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ขอจองครับ
     
  8. นายสุดจินดา

    นายสุดจินดา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +50
    จองบูชาครับ
     
  9. นายสุดจินดา

    นายสุดจินดา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +50
    จองบูชาครับ
     
  10. นายสุดจินดา

    นายสุดจินดา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +50
    จองบูขาครับ
     
  11. นายสุดจินดา

    นายสุดจินดา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +50
    จองบูชาครับ
     
  12. นายสุดจินดา

    นายสุดจินดา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +50
    จองบูชาครับ
     
  13. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,465
    ค่าพลัง:
    +21,421
    DSCF0337.jpg

    ชีวิตเมื่อเยาว์วัย
    หลวงปู่บุญหลาย หรือ เด็กชายบุญหลาย ไชยมาตย์ ถือกำเนิดเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2483 ตรงกับวันอาทิตย์ขื้น 15 ค่ำ เดือน 12 ปีมะเส็ง คุณแม่เปี่ยง เคยเล่าให้ฟังว่า ก่อนที่จะตั้งท้องของทารกคนนี้ ได้ฝันว่ามีคนนำพระพุทธรูปมามอบให้ แม่เปี่ยงก็น้อมรับด้วยความดีใจ นั่นก็เป็นนิมิตรหมายที่ดีเป็นนิมิตรอย่างหนึ่ง เพื่อจะบอกให้รู้ว่าจะมีผู้มีวาสนาบารมีมาเกิดด้วยนับว่าเป็นบุญของโยมแม่ท่านอย่างมาก เมื่อตอนเป็นเด็กอายุประมาณ 2-4 ขวบ เป็นผู้มีร่างกายไม่สู้แข็งแรงนักเจ็บป่วยออดๆ แอดๆ เลี้ยงยาก สมัยก่อนเรียกกันว่า เป็น ซางพุงโร และเป็นฝีที่ก้น ใครพบเห็นก็อดสงสารไม่ได้ แต่เนื่องจากเป็นผู่ที่มีนิสัยดี ไม่ขี้อ้อน ไม่งอแงเหมือนเด็กทั่วๆไป จึงเป็นที่รักใคร่ และสงสารของบรรดาพ่อแม่ พี่น้อง
    ชีวิตในวัยเรียน
    เมื่อออกจากโรงเรียนก็ไม่ได้ศึกษาต่อ แต่เนื่องจากว่าท่านเป็นผู้มีลักษณะนิสัยเรียบร้อย อยู่อย่างเรียบง่าย ไม่โลดโผน ไม่ชอบการเที่ยวแตร่ ไม่ดื่ม ไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงและอบายมุขใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อออกจากโรงเรียนมา 2-3 ปี คิดอยากจะบวช จึงขออนุญาตพ่อแม่ ซึ่งท่านก็ยินดีให้บวชเณร ก็จำพรรษาที่วัดบ้านนาเยีย โดยมีอาจารย์ พรขันติโก เป็นเจ้าอาวาสและเป็นพระอาจารย์สอนธรรมะด้วย
    การอุปสมบทเป็นพระครั้งแรก
    เมื่อมีอายุครบพอจะบวชพระได้ คุณพ่อคุณแม่ รวมทั้งแม่เลี้ยงกุ่นและครอบครัว จึงจัดให้บวชตามประเพณี และอีกอย่างก็เป็นโอกาสที่จะได้อุทิศส่วนกุศล ทดแทนบุญคุณผู้อุปถัมภ์ คือพ่อเถี่ยน เชี้อขาว ผู้มีพระคุณอย่างล้นเหลืออีกด้วย อุปสมบท ณ วิสงคามสีมาวัดบ้านนาเยีย สังกัดหมานิกาย เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ 2505 โดยเจ้าอธิการอ่วม อัคควโร เป็นพระอุปัชณาย์ เจ้าอธิการคำ จันทโชโต วัดบูรพา บ้านนาหมอม้า เป็นกรรมวาจาจารย์ พระอธิการ เผือก โชติโก วัดศรีมงคลบ้านน้ำปลีก เป็นอนุสาวนาจารย์และหลวงปู่ดา เป็นเจ้าอาวาส
    การอุปสมบทครั้งที่ 2
    อุปสมบทเมื่อวันที่ 28 เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ 2529 ณ วัดป่าอุดมสมพร ตำบลพรรณนา อำเภอพรรณนานิคม จังหวัดสกลนคร สังกัดนิกายธรรมยุติ โดยมีพระอาจารย์ทองใส เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูอุดมธรรมสุนทร ( พระอาจารย์แปลง ) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ซึ่งขณะนั้นหลวงปู่มีอายุได้ 42 ปี
    นิมิตเห็นหลวงปู่มั่น
    หลังจากวันเข้าพรรษามาได้ 10 วัน หลวงก็ฝันเห็นหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระอาจารย์ใหญ่ ในฝันนั้นหลวงปู่มั่นยืนหันหลังให้ ห่างกันประมาณ 3 เมตร ก็จำได้ว่าเป็นหลวงปู่มั่น เพราะเคยเห็นในภาพมาแล้วหลายครั้ง ท่านออกเดินนำหน้า ก้าวเท้าค่อนข้างเร็ว เราก็รีบเดินตามทันที ด้วยหวังจะให้ท่านมองเห็นและทักทายบ้าง แต่หลวงปู่ท่านก็ไม่มองและไม่พูดว่ากระไร เดินตามหลังท่านไปหน่อยเดียวก็ไปเจอแม่น้ำขวางหน้าอยู่ความกว้างประมาณส่วนกว้างของแม่น้ำมูลหลวงปู่มั่นนั้นท่านไม่หยุด ท่านเดินลุยลงไปในน้ำ เราก็เดินตามไปถึงกลางแม่น้ำซึ่งลึกถึงหน้าอกนี่แหละ จากนั้นภาพของหลวงปู่มั่นก็หายวับไปเลย ขณะนั้นเราเกิดอาการงงอยู่พักหนึ่ง บรรยากาศก็มืดสลัว พอตั้งสติได้ก็แลซ้ายมองขวาครั้นมองเหลียวหลัง ก็พลันเหลือบไปเห็นงูตัวหนึ่ง ลำตัวขนาดเท่าแขนกำลังเลื้อยตามมาอย่างกระชันชิด นี่คงเป็นงูเห่าน้ำกระมัง คิดหาทางป้องกันมิให้เจ้างูเลื้อยเข้ามาถึงตัวได้ บังเอิญที่มือยังมีไฟฉายอยู่กระบอกหนึ่ง จึงกวัดแกว่งไปมาเป็นการขู่และปัดป้องเอาไว้ เรารีบขึ้นฝั่งโดยมิชักช้า พบไม้ขนาดเท่าด้ามพร้ายาวประมาณ จึงรีบคว้ามาได้หวังจะตีงูนั้นให้ตายคามือ ด้วยความตกใจทั้งกลัวงูจะฉก และคิดกลัวบาปกรรมที่จะต้องฆ่าสัตว์ พอเงื้อไม้ขึ้นสุดช่วงแขนปากก็ตะโกนร้องไล่ ก็พลันเกิดเสียงออกมาจริงๆ จนสะดุ้งตื่นขึ้นมา
    เมื่อตื่นขึ้นมาและตั้งสติได้ นึกทบทวนภาพนิมิตที่พึ่งผ่านไปใหม่ๆ คงเป็นภาพทำนายบอกอนาคตให้เห็นว่า “ เราเดินตามหลังหลวงปู่มั่น ” คงจะเป็นเพราะแนวทางที่ปฏิบัติอยู่ เป็นไปตามแนวสายทางของท่าน พระอาจารย์ผันเป็นลูกศิษย์ปู่ฝั้น และหลวงปู่ฟั่นก็เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นตามลำดับก็เท่ากับว่าเราคือลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่นเหมือนกัน การที่หลวงปู่เดินนำหน้าในการข้ามแม่น้ำคงจะเป็นปริศนาธรรมให้รู้ว่า แม่น้ำ คือโอฆะสงสาร งูอสรพิษ ก็คือกิเลสตัณหาที่เป็นอุปสรรคขัดขวางต่างๆ ไม่ให้ข้ามพ้น ส่วนไฟฉายก็น่าจะเป็นปัญญาส่องสว่างหรือพระธรรม ที่นำพาไปสู่ทางแห่งความสำเร็จวิมุติ มรรค ผล และพระนิพพาน อันเป็นที่สุดแห่งวัฏฏะสงสารที่ได้หวังไว้ ตั้งแต่วันแรกที่ได้บวชเข้ามาการที่ได้ข้ามน้ำไปถึงฝั่งก็คงจะได้หลุดพ้นจากบ่วงมาร กิเลสตัณหาได้อย่างแน่นอน เมื่อได้รับการเอิบอิ่มจากภาพนิมิตดังกล่าว หลวงปู่ก็รีบเร่งภาวนาอย่างเอาเป็นเอาตายตลอดพรรษา เพื่อจะได้ถึงที่หมายอย่างรวดเร็ว
    ตอบกลับ สนับสนุน คัดค้านรายงาน
    Metha
    3#
    เจ้าของ| โพสต์ 2014-6-3 17:49 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
    นิมิตครั้งที่ 2
    ต่อมาประมาณช่วงกลางพรรษา หลวงปู่เกิดนิมิต ฝันเห็นหลวงปู่มั่นอีกเป็นครั้งที่ 2 ในฝันนั้นเห็นหลวงปู่มั่นท่านกำลังทำพิธีปลุกเสก ทำน้ำพระพุทธมนต์อันศักดิ์สิทธิ์อยู่ เป็นอ่างกะละมังขนาดใหญ่ ภายในอ่างเป็นน้ำใสสะอาดแล้วท่านก็ช็มือกวักเอาน้ำมาชโลมลูบไล้ไปตามส่วนต่างๆทั่วร่างกายของท่านเองประหนึ่งว่าท่านกำลังออกสู่สงครามครั้งยิ่งใหญ่ เพราะมองออกไปข้างหน้าอันไกลโพ้น มีขบวนรถถังรถหุ้มเกราะ ปืนใหญ่ ทุกกระบอกเล็งมาที่ท่านจุดเดียว แล้วในบัดดลก็มีเสียงรัวระดม เสียงดังสนั่นหวั่นไหว ส่วนข้างบนก็เป็นปืนจากเครื่องบินรัวลงมาดังห่าฝน แต่ปรากฏว่าร่างของหลวงปู่มั่นยังคงแน่นิ่ง มั่งคง ไม่สะทกสะท้านหวั่นไหวใดๆเลย เมื่อเห็นดังนั้นในความรู้สึกของหลวงปู่เอง ก็เกิดความกล้าหาญ ชาญชัย มั่นใจในบารมีที่คิดว่าหลวงปู่คงจะปกป้องคุ้มครองได้ จึงเดินออกไปข้างหน้าพระอาจารย์ใหญ่ แล้วใชมือกวักเอาน้ำชโลมลูบตามเนื้อตัวเหมือนกับที่เห็นกับภาพตัวอย่างที่พระอาจารย์ใหญ่กระทำให้ดู สังเกตดูอากัปกิริยาของท่านพระอาจารย์ก็ไม่เห็นท่านว่ากระไร เพียงแต่มองดูแล้วยิ้มนิดๆ เท่านั้น แล้วหลังจากนั้นก็ตื่นจากความฝันนั้น มาคิดดูอีกครั้งก็คงยังเป็นปริศนาธรรม บอกให้รู้ว่า ต่อไปหลวงปู่จะได้ทำน้ำมนต์และมีความศักด์สิทธิ์เหมือนในฝัน ปัจจุบันจึงมีญาติโยม ลูกศิษย์ลูกหา มาขอให้หลวงปู่เสกเป่าพระพรมน้ำมนต์ให้ เพื่อขจัดปัดเป่า เสนียดจัญไร มิให้มารังควาญ และเพื่อให้เกิดเป็นสิริมงคลแก่ตัวและครอบครัวตลอดไป แต่ในความเป็นจริง ความตั้งใจของหลวงปู่แต่ตอนแรกๆนั้น หลวงปู่ไม่เคยแม้แต่จะคิด ว่าจะเป็นพระผู้ทำหน้าที่เสกเป่า ทำน้ำมนต์ให้แก่ใครเลย หากแต่ว่าญาติโยมมาขอความเมตตาให้ช่วยขจัดปัดเป่าหลวงปู่ก็ทำไปเพราะความเมตตาสงสารเท่านั้นเอง และก็ปรากฏว่าทุกคนที่ขอความช่วยเหลือ ก็มักจะพบกับสิ่งที่ดีๆ ในชีวิต รู้ได้จากการ บอกเล่าของบุคคลเหล่านั้น จึงต้องอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถปฏิเสธคำขอนั้นได้อีกอย่างก็เป็นการสงเคราะห์ช่วยเหลือแก่ญาติโยมที่เดือดร้อนไม่ว่าทางร่างกายหรือจิตใจ หากเขาเหล่านั้นมีความรู้สึกดี หรือมีอาการที่ดีขึ้น ก็เป็นการเสริมพลังศรัทธาปสาทะอีกทางหนึ่งเช่นกัน
    เมื่อออกพรรษาใหม่ๆ จิตใจยังเกิดความมุ่งมั่นอยากทำความพากเพียรภาวนาให้เต็มที่ หวังให้เกิดพลังจิตสมาธิธรรมที่แก่กล้าและสูงยิ่งขึ้น แม้จะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า เจ็บปวดทรมานตามร่างกายก็ไม่ย่อท้อ อดนอน ผ่อนอาหาร ทรมานร่างกายเพื่อให้จิตสงบนิ่งเป็นสมาธิ ไม่หวั่นไหวตามอารมณ์ของกิเลสและนิวรณ์น้อยใหญ่บางครั้งเมื่อการภาวนาไม่ค่อยสู้ดี หลวงปู่ก็จะหาวิธีกำราบด้วยการ อดนอน ผ่อนอาหาร อันเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่พ่อแม่ครูอาจารย์ในอดีตเคยกระทำบำเพ็ญภาวนามามากต่อมาก เมื่อทำอยู่พักใหญ่ สังเกตได้ว่าร่างกายได้ผ่ายผอมลง แน่นอนทีเดียวเมื่อกำลังภายนอกอ่อนลงกิเลสภายในก็อ่อนลงเช่นกันทั้งนี้เพราะเกิดจากอุบายภาวนาในการอดนอน ผ่อนอาหาร ฉันน้อย นอนน้อย ภาวนาให้มากนั่นเอง เมื่อเร่งภาวนาจิตก็เกิดปิติสุข อิ่มเอิบใจมากเมื่อได้เจริญจิตภาวนามากขึ้น ยิ่งทำก็ยิ่งเกิดปิติมากขึ้นตามลำดับ เป็นปกติของผู้มีความเพียร อุปมาเหมือนคนทำงาน ยิ่งทำงานในสิ่งที่ตัวเองถนัดยิ่งทำมากขยันทำมากงาน ก็ย่อมเสร็จไปตามลำดับลำดามากมาย เช่นเดียวกันกับการภาวนายิ่งทำมาก ความเพียรมาก กิเลสน้อยใหญ่ก็ยิ่งถอยห่างออกไปเรื่อยๆ สืบเนื่องมาจากความเพียรนั่นเอง พระพุทธองศ์จึงได้ตรัสว่า ขันตี ปรมัง ตโป ตีติกขา ขันติคือความอดกลั้น ความพากเพียร เป็นเครื่องธรรมเป็นเครื่องเผากิเลสอย่างยิ่งเมื่อเป็นเช่นนั้นหลวงปู่จึงใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับการทำสมาธิภาวนาทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่ย่อมปล่อยเวลาให้เสียเปล่ายกเว้นเวลาทำภัตตะกิจ ทำวัตรสวดมนต์ และภารกิจห้องน้ำเท่านั้น
    เกิดภาวะจิตปั่นป่วน
    อาจจะเป็นเพราะความตั้งใจมุ่งมั่นพากเพียรภาวนาไม่ยอมหยุดลดละ อยากเร่งให้เห็นผลเร็วเกินไป จึงมิได้สนใจศึกษาขั้นตอนการปฏิบัติ และไม่ยอมปรึกษาใคร รับการทดสอบจากครูบาอาจารย์ ด้วยหวังจะให้บรรลุผลสำเร็จก่อนใครอื่น และเมื่อถึงขั้นนั้น มันไม่ง่ายอย่างที่คิด นี่คืออวิชชาที่กำลังบดบังห่อหุ้มจิตใจของหลวงปู่ในขณะนั้น
    ตอบกลับ สนับสนุน คัดค้านรายงาน
    Metha
    4#
    เจ้าของ| โพสต์ 2014-6-3 17:50 | ดูเฉพาะโพสต์สมาชิกนี้
    ด้วยเหตุนี้ เมื่อทุกอย่างมันไม่เกิดขึ้นได้ตามที่คาดหวัง จึงเกิดภาวะปั่นป่วนในจิตใจ มีความว้าวุ่นกระวนกระวายในจิต จิตที่เคยสงบเป็นสมาธิในการบำเพ็ญภาวนาก้ไม่มีสมาธิ เกิดอาการฟุ้งซ่าน เกิดท้อแท้ เบื่อหน่าย เมื่อหายใจเข้าลึกๆมีอาการสั่นไหว คล้ายสะอื้นภายใน จนบางครั้งถึงกับเอาน้ำเย็นมาลูบไล้ตามร่างกาย เพื่อให้เกิดความเย็นในร่างกาย ส่งผลให้จิตสงบมีสติสมาธิดีขึ้น แต่ก็ไม่เป็นผล จนเกิดคำถามขึ้นภายในจิต พิจารณาตัวเองในใจว่า นี่เราเป็นอะไรไปแล้วหรือ โรคจิต ? ประสาท ? หรือเป็นบ้า ? นี่หรือที่เขาเรียกกันว่า “ ธรรมแตก ” แล้วถ้าเป็นอย่างที่เขาว่านั้นจริง ชาวบ้านญาติโยมเขาคงจะเล่าลือไปในทางเสียหายต่างๆ นาๆ เป็นแน่ เราคงไม่กล้าบากหน้ากลับไปเยี่ยมบ้านได้อีก ต่อไปนี้เราจะจัดการกับตัวเองอย่างไร ? ตอนนั้นคิดได้อย่างเดียวคือ ไปเล่าอาการให้อาจารย์ฟังเพื่อจะมีช่องทางแก้ไขอารมณ์เหล่านี้ได้ ก่อนที่จะเตลิดเปิดเปิงไปจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ อาจารย์ผันบอกว่าพรุ่งนี้จะพาไปกราบอุปัชฌาย์อาจารย์ ที่วัดป่าอุดมสมพร
    พอตกกลางคืนก็นิมิตฝันอีก ไม่ทราบว่าจะเป็นเพราะสัญญาวิปลาสจิตวิปลาส หรือทิฐิวิปลาสที่สืบเนื่องมาจากตอนกลางวันหรือเปล่า หลวงปู่ฝันเห็นม้าสีขาว วิ่งมาบนผิวน้ำมองเห็นแต่ไกล พอวิ่งตรงเข้ามาใกล้ ก็ปรากฏว่าน้ำได้แหวกทางออกให้จนมองเห็นเป็นดินเป็นถนน แล้วก็มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าพอดีแปลกจริงม้านั้นมันพูดได้ ว่า “ ขึ้นเร็ว เดี๋ยวจะไปไม่ทันเขา ” เราไม่มีทางเลือกอื่นจึงรีบขึ้นขี่บนหลังม้า ม้านั้นก็เหาะทะยานขึ้นไปเบื้องบน สูงเท่าไรไม่อาจคาดคะเนได้ ไปพบศาลาหลังใหญ่ม้าก็หยุด พอม้าหยุดแล้วหลวงปู่ก็รีบลงไปเอาดอกไม้มาให้ม้านั้นกิน ด้วยความเมตตาเหมือนกับเรารู้มาก่อนแล้วว่า ม้ากินดอกไม้ได้หลังจากนั้นหลวงปู่ก็รีบเตรียม สบง จีวร สังฆาฏิ สะพายบาตรใส่บ่า แล้วขึ้นบนหลังม้าอีกทีหนึ่ง ม้าก็เหมือนรู้ใจ รีบทะยานขึ้นสูงอย่างรวดเร็วด้วยอารมณ์ความรีบร้อน ตื่นเต้น จึงทำให้ตกใจตื่นขึ้นมา พอรู้สึกตัวว่าฝัน ก็ยิ่งให้เกิดอาการวิตกจริตคิดไปต่างๆ นาๆ ว่าจิตของเรานี้ฟุ้งซานแน่นอนแล้ว จึงชวนพระที่เป็นน้องชายของอาจารย์ผันไปเป็นเพื่อนพาไปพบพระอุปัชฌาย์เพื่อแก้อารมณ์ให้ วันนั้นไปด้วยรถยนต์ ก่อนจะถึงรถเขาพาไปแวะบ้านนาผือก่อน เพราะที่นั่นมีวัดพระอาจารย์มั่นเคยมาอยู่ ไปแวะกราบอาจารย์เศียร เดินผ่านกุฏิหลังหนึ่งมีป้ายบอกว่า “ กุฏิหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ” ลักษณะเป็นเรือนไม้จึงเดินขึ้นไปแล้วก้มกราบ 3 ครั้ง อธิษฐานวิงวอนว่า “ หลวงปู่ขอรับ ขณะนี้ลูกหลานมีความตั้งใจจริงในการเข้ามาบวช หวังเจริญรอยตามหลวงปู่ เพื่อให้บรรลุธรรมขั้นสูง แต่ลูกหลานกับมีปัญหาอุปสรรคทางด้านจิตใจที่ไม่มีสมาธิ จิตใจปั่นป่วน ฟุ้งซ่าน หรือหากว่าบุญบารมีของลูกหลานจะไปไม่ถึง ที่มาวันนี้ลูกหลานมาขอพึ่งบุญบารมีของหลวงปุ่ สาธุ ขอได้โปรดดลบันดาลให้ลูกหลานได้หายจากอาการดังกล่าวนี้ด้วยเถิด และต่อจากนี้ไปขอให้ลูกหลานได้พบกับความสำเร็จในอริยธรรม บรรลุ มรรค

    http://www.baanjompra.com/webboard/thread-4850-1-1.html

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระสมเด็จหลวงปู่บุญหลาย หลังจารยันต์ นกยูงทอง โมปริต ให้บูชา 350 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

    IMG_20250730_002539.jpg IMG_20250730_002559.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 กรกฎาคม 2025 at 13:16
  14. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,465
    ค่าพลัง:
    +21,421
    FB_IMG_1753810562569.jpg

    วิชาเป่าทองในระดับสุดยอด เป่าคราวเดียวหายวับไปกับตา แต่ถ้าเข้าเครื่อง X-Ray ละก็เห็นหมดทุกแผ่น ทั้งหมดที่กล่าวขึ้นมา คือ องค์หลวงปู่ พิชัย ฐิติลาโภ ปรมาจารย์ผู้เฒ่าแห่งสำนักสงฆ์เขาหงษ์


    ประวัติพระอาจารย์เขาหงษ์
    (หลวงปู่ พิชัย ฐิติลาโภ อายุ ๑๐๙ ปี)
    พระเถระ ๕ แผ่นดิน ผู้สืบทอดสุดยอดวิชาแห่งสำนักวัดมะขามเฒ่า ปรมาจารย์ผู้มีอาวุโสสูงสุดแห่งสำนักวัดสุทัศน์ ศิษย์ในองค์พระสังฆราชแพ พระอาจารย์ในดง พระในตำนาน ซึ่งเป็นที่กล่าวขวัญถึงกันมากในหมู่พระธุดงค์ ผู้สำเร็จวิชาเป่าทองในระดับสุดยอด เป่าคราวเดียวหายวับไปกับตา แต่ถ้าเข้าเครื่อง X-Ray ละก็เห็นหมดทุกแผ่น ทั้งหมดที่กล่าวขึ้นมา คือ องค์หลวงปู่ พิชัย ฐิติลาโภ ปรมาจารย์ผู้เฒ่าแห่งสำนักสงฆ์เขาหงษ์ อ.เมือง จ.ลพบุรี พระผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของลูกศิษย์มากมายในปัจจุบัน ผู้เชี่ยวชาญในสุดยอดวิชาการเป่าทอง ซึ่งทำเอานายแพทย์หลายท่านต้องประหลาดใจ เพราะเห็นแผ่นทองหลายแผ่นติดอยู่ที่ศีรษะลูกศิษย์ของหลวงปู่ที่มารับการตรวจโดยการ X-Ray
    หลวงปู่พิชัยท่านเป็นปรมาจารย์ผู้สำเร็จสุดยอดวิชาทั้งสำนักวัดมะขามเฒ่าและสายวัดสุทัศน์ หลวงปู่พิชัยจำพรรษาอยู่ที่วัดสุทัศน์ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๙๓-๒๕๑๑ ซึ่งในขณะนั้นท่านมีชื่อเสียงทางด้านการเทศนาธรรม เป็นปราชญ์แห่งธรรม และมีศักดิ์เป็นถึง ท่านเจ้าคุณพระสุนทรธรรมรส รองเจ้าคณะ๑ แห่งวัดสุทัศน์ ท่านได้เข้าพิธีพุทธาภิเษกครั้งสำคัญๆ มากมายหลายพิธีในสมัยนั้น ก่อนออกธุดงค์ไปหลายปีจนมาถึงสำนักสงฆ์เขาหงษ์ในปัจจุบัน ซึ่งฉายาของหลวงปู่นั้นมีมากมายเนื่องจากหลวงปู่ได้รับนิมนต์ไปงานพิธีพุทธาภิเษกอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งท่านจะบอกลูกศิษย์ว่าไม่ต้องมาดูแล ท่านไปเอง กลับเอง ไม่เป็นภาระใคร ดังนั้นเองเมื่อไปถึงงานจึงไม่มีใครรู้จักท่านซึ่งท่านก็หลบพักผ่อนอยู่ตามลำพังจนถึงเวลาปลุกเสกจึงจะเข้าไปนั่งปรกจนเสร็จแล้วลุกออกจากงานทันทีไม่อยู่รอจนจบพิธี ดังนั้นเองผู้จัดงานทั้งหลาย โฆษกเองก็ดี จึงไม่รู้จักท่าน ไม่รู้ว่ามายังไง เมื่อไร และชื่ออะไร จึงต่างเรียกท่านตามรูปพรรณสันฐานว่า อาจารย์ดำ หลวงปู่ดำ และบางครั้งเรียก หลวงพ่อใหญ่ ก็มี จนถึงฉายา “พระอาจารย์ในดง” ชื่อนี้ลูกศิษย์หลายท่านเมื่อครั้งไปเรียนกับหลวงปู่ในป่าในเขาเมื่อหลายสิบปีก่อนใช้เรียกกันและเคยมีการเขียนถึงในหนังสือหลายเล่มในขณะนั้น จนเป็นที่กล่าวกันว่าผู้ใดพบพระอาจารย์ในดงผู้นั้นได้พบขุมวิชาแห่งสำนักวัดมะขามเฒ่า และเมื่อถามหลวงปู่ว่าชื่อฉายาที่มากมายนี้หลวงปู่ชอบให้เรียกชื่อไหน ซึ่งท่านก็บอกว่าเรียก “พระอาจารย์เขาหงษ์” สิดี และนั้นจึงเป็นที่มาของฉายานี้ ซึ่งเรื่องราวประวัติตลอดจนอิทธิปาฏิหารย์แห่งองค์หลวงปู่ในขณะนั้นมีมากมาย
    "หลวงตาฮาร์วาร์ด" พระดร.พิชัย ฐิติลาโภ ในวัย ๑๐๘ ปี
    "ฮาร์วาร์ด" เป็นมหาวิทยาลัยอันดับต้นๆ ของโลกได้อย่างยาวนานกว่า ๓๐๐ ปี คนไทยคนแรกที่เข้าเรียนฮาร์วาร์ด คือ พระยาศัลวิธานนิเทศ หรือ นายแอบ รักตประจิต (Aab Raktaprachit) ยังมีเกียรติประวัติเป็นคนที่มีชื่อแรกอยู่ในหนังสือรายชื่อศิษย์เก่าของฮาร์วาร์ดทุกปี เป็นเวลา ๘๐ ปีติดต่อกัน
    แต่ใครเลยจะคิดว่าหลวงตาแก่ๆ แห่ง สำนักสงฆ์เขาหงษ์ ต.นิคม อ.เมือง จ.ลพบุรี อย่าง พระ ดร.พิชัย ฐิติลาโภ หรือ หลวงตาพิชัย หรือ หลวงปู่เขาหงษ์ อายุ ๑๐๘ปี (เกิด ๒๒ เมษายน ๒๔๔๕) จะจบปริญญาเอกครุศาสตร์จาก มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เช่นกัน
    เมื่อนับดูวันเวลาที่ล่วงเลยมา หมายความว่า ชีวิตได้ผ่านมาถึง ๕ แผ่นดินด้วยกัน นับตั้งแต่รัชกาลที่ ๕ มาจนถึงทุกวันนี้นั่นเอง
    ดร.พิชัย รัตนพันธ์ เป็นชื่อและสกุลเดิมของหลวงตาพิชัย ส่วนความเกี่ยวข้องกับนามสกุล ณ ป้อมเพชร เป็นนามสกุลของมารดาท่าน
    ทั้งนี้หลายคนอาจจะสงสัยว่าท่าจบจากฮาร์วาร์ดจริงหรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่แตกต่างจากหลวงตาทั่วๆ ไปคือ ท่านพูดภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน รวมทั้งภาษาของชาวตะวันตกอื่นๆ ได้อีกหลายภาษา
    ขณะเดียวกันภาษาของประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็นลาว เขมร จีน พม่า มอญ ท่านพูดได้หมด หากใครได้พบหรือสนทนาธรรมกับท่าน ลองสนทนาเป็นภาษาอังกฤษ หรือเยอรมันก็ได้
    เหตุผลเดียวที่หลวงตาพิชัยเดินทางไปเรียนต่างประเทศ คือ ด้วยความอยากรู้ และอยากจะช่วยเหลือญาติให้หายจากโรคมะเร็ง จึงไปปรึกษาขอความรู้จากเพื่อนที่เป็นหมอคนหนึ่ง แต่ก็ไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวอะไรนัก
    ในที่สุดจึงตัดสินใจเดินทางไปเรียนหมอที่แฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี ก่อนที่จะไปเรียนด้านการศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด โดยใช้เวลาเรียน ๕ ปี
    จากนั้นกลับมารับราชการที่กระทรวงธรรมการ หรือกระทรวงศึกษาธิการในปัจจุบันนี้ ตำแหน่งในกระทรวงธรรมการสุดท้ายเป็นศึกษาธิการจังหวัดนครสวรรค์
    และเมื่อถูกคำสั่งให้ย้ายไปอยู่ที่เชียงใหม่ ซึ่งมีเหตุมาจากความขัดแย้งกับผู้บังคับบัญชาอย่างรุนแรง จึงตัดสินใจลาออกจากราชการในวัย ๕๘ ปี และบวชเป็นพระมาถึงทุกวันนี้
    หลวงตาพิชัย อุปสมบท ณ พระอุโบสถ วัดสุทัศนเทพวราม เมื่อปี ๒๔๙๓ จากนั้นก็เรียนจบเปรียญธรรมประโยค ๖ และก่อนหน้านี้ท่านเคยได้รับสมณศักดิ์ที่ พระสุนทรธรรมรส แต่ด้วยเหตุผลทางด้านการเมืองของคณะสงฆ์ เนื่องจากมีบางสิ่งบางอย่างในวงการสงฆ์ ขัดความรู้สึก และความคิดของตนเอง จึงต้องกลายเป็นพระที่โดดเดี่ยว และได้รับฉายาว่าเป็น “ปราชญ์ดำปากหมา" แห่งวัดสุทัศนฯ เนื่องจากชอบวิพากษ์วิจารณ์นั่นเอง
    ท่านจึงลาออกจากสมณศักดิ์ดังกล่าว ไปใช้ชีวิตอย่างพระบ้านนอก ซึ่งขณะที่ลาออกนั้นพระที่เป็นระดับสมเด็จในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ยังเป็นสามเณรอยู่เลย ทั้งนี้ หากท่านไม่ลาออกเวลานี้คงได้รับสมณศักดิ์ในชั้นสมเด็จไปแล้ว หลังจากนั้นท่านได้ออกธุดงค์ไปทั่วประเทศ รวมทั้งประเทศเพื่อนบ้าน ท่านไปมาหมด และสุดท้ายมาอยู่ที่สำนักสงฆ์เขาหงษ์
    แม้วัยของหลวงปู่จะล่วงเลยมากถึง ๑๐๘ ปี แต่ความทรงจำอันหลากหลายเรื่องราว ที่ยังแจ่มชัดในความทรงจำ นอกจากนี้แล้วสิ่งที่คนเคยพบเจอกับหลวงปู่ รู้สึกทึ่งเป็นอันมาก ก็คืออายุ ๑๐๘ ปี แต่ผิวพรรณ หน้าตา รวมทั้งพละกำลังต่างๆ ดูไม่ร่วงโรยตามอายุขัยแต่อย่างใด
    ตรงกันข้ามกลับมีสายตาดี พูดคุยชัดเจน สามารถพูดคุยได้หลายภาษา และเดินขึ้นลงวัดที่สร้างเอาไว้บนเนินเขาได้อย่างสบาย
    ขณะเดียวกันก็จดจำเรื่องราวต่างๆ ในอดีตได้ และถ่ายทอดให้ฟังอย่างอารมณ์ดี
    “อาตมาไม่ใช่คนไทย เพราะตอนที่อาตมาเกิดนั้น ประเทศไทยยังไม่เกิด เพลงชาติที่ร้องกันอยู่ทุกวันนี้ยังไม่มี วันที่ วันขึ้นปีใหม่ยังเป็นวันที่ ๑๓ เมษายน อยู่เลย อาตมาเกิดในแผ่นดินสยามช่วงปลายรัชกาลที่ ๕ โน้น เกิดได้ ๙ ปี ก็สิ้นรัชกาลที่ ๕ ใช้เงินมาตั้งแต่เงินพดด้วง เงินฬส เงินไพ เงินเฟื่อง เงินอัฐ เงินสตางค์ เงินสลึง เงินบาท เงินกระดาษ และปัจจุบันก็ใช้เงินพลาสติก เงินบำนาญที่อาตมาได้รับอยู่เดือนละกว่า ๒ หมื่นบาทนั้น เป็นเงินบำนาญของกระทรวงธรรมการ ไม่ใช่ของกระทรวงศึกษาธิการ และตำบลบ้านเกิดที่บางเขนนั้น เปลี่ยนชื่อมา ๓ ครั้งแล้ว เมืองไทยในยุคที่มีประชากรทั่วประเทศ ๑๘ ล้านคนนั้น แต่ปัจจุบันมีกว่า ๖๐ ล้านคน สภาพแตกต่างจากทุกวันนี้อย่างสิ้นเชิง” นี่คือคำยืนยันจากปากของหลวงตาพิชัย
    อย่างไรก็ตาม ในอดีตหลวงตาพิชัยขึ้นชื่อว่าเป็นพระดูหมอ และใบ้หวยแม่นมาก ไม่ต่างจากที่วัดหลวงพ่อปากแดง จ.นครนายก ในทุกวันนี้
    แต่ปัจจุบันนี้ท่านประกาศไว้ชัดเจน หน้าสำนักสงฆ์ว่า ศาสนพิธีทุกอย่างไม่ทำที่นี่ เครื่องรางของขลัง ดูหมอ ใบ้หวย ฯลฯ ไม่รับทำ
    แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงทำต่อเพื่อเป็นทานแก่ชาวโลกคือ ทำยาสมุนไพรรักษาโรคได้หลายอย่าง เช่น เอดส์ เบาหวาน ความดัน ริดสีดวงทวาร รวมทั้งมะเร็ง ซึ่งเป็นที่รู้กันในหมู่ลูกศิษย์ โดยบอกกันแบบปากต่อปากเท่านั้น
    หลายคนเชื่อในสรรพคุณยาของท่าน ในขณะที่หลายคนไม่เชื่อ แต่สิ่งหนึ่งที่ยืนยันในความสามารถจัดยาสมุนไพร คือ อนุสิทธิบัตร ที่ออกโดย กรมทรัพย์สินทางปัญญา และใบประกอบวิชาชีพด้านสมุนไพรแผนไทย ที่หลวงพ่อได้รับจากกระทรวงสาธารณสุข
    ทั้งนี้ หลวงตาพิชัยพูดไว้อย่างน่าคิดว่า “ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ เป็นสิทธิของคน เราจ่ายเงินแพงๆ จ่ายเงินหลักแสนหลักล้าน เพื่อซื้อยานอกมากินรักษาโรค หายบ้างไม่หายบ้าง แต่ที่แน่ๆ คือ แพงและมีผลข้างเคียง แต่สมุนไพรไทยราคาอยู่ในหลักร้อย อย่างเก่งไม่เกินหลักพัน กินไปไม่มีผลข้างเคียงใดๆ เพราะเป็นสมุนไพร อย่างนี้แหละที่เขาเรียกว่าใกล้เกลือกินด่าง”
    แต่มี ยาอายุวัฒนะ อยู่สูตรหนึ่งที่ไม่เคยปิดบังเลย สามารถไปซื้อสมุนไพรมาผสมกินเองได้ และไม่เป็นอันตรายใดๆ โดยใช้ชื่อว่า “สูตรยาน้ำผึ้ง”
    ประกอบด้วย ๑.เหงือกปลาหมอน้ำจืด น้ำหนัก ๕ กรัม ๒.ถั่งเช่า น้ำหนัก ๕ กรัม ๓.ไข่มุก น้ำหนัก ๕ กรัม ๔.โป๊ยกั๊ก น้ำหนัก ๕ กรัม และ ๕.น้ำผึ้งป่า ๑ ขวดแม่โขง
    นำมาผสมลงไปในขวดและกวนให้เข้ากัน กินเช้า ๑ ช้อนยาว เย็นอีก ๑ ช้อนยาว นอกจากจะช่วยให้สุขภาพดีแล้ว ยังช่วยให้มีอายุยืนเหมือนท่านด้วย
    Cr. เรื่อง - ภาพ... "ไตรเทพ ไกรงู"
    Cr. ที่มาคมชัดลึก
    หลวงปู่ได้มรณะภาพแล้ว เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๓ ครับ

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญรูปเหมือนรุ่น๑หลวงปู่พิชัยวัดเขาหงษ์ ให้บูชา 350 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

    IMG_20250730_004305.jpg IMG_20250730_004330.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กรกฎาคม 2025 at 10:44
  15. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,465
    ค่าพลัง:
    +21,421
    หลวงปู่ทองทิพย์ พุทธปัญโญ…หน่อพุทธางค์กูร

    รูปถ่ายกวางทอง (พระตรากวาง) หลัง รูปไม้เท้าพระเจ้า 5 พระองค์ ยุคแรก
    รูปภาพกวางทอง เป็นรูปที่แสดงถึง “อธิษฐานบารมี” รูปนี้เกิดขึ้นเนื่องจากหลวงปู่ได้เมตตาเล่าเรื่องในอดีตของที่ให้ลูกศิษย์ฟัง ว่าชาติหนึ่งหลวงปู่เคยเกิดเป็นกวางทองโพธิสัตว์ ถูกนางยักษ์ สาป ที่ขัดขืนไม่ยอมเป็นสามีนาง ให้กลายเป็นกวางทอง และเป็นอยู่ได้ ๗ วัน ร่างกวางทองก็คืนสภาพเป็นร่างคนดังเดิม
    ขณะที่ท่านเล่าอยู่นั้นได้มีลูกศิษย์คนหนึ่งได้ถ่ายภาพหลวงปู่ เมื่อล้างออกมาปรากฏเป็นรูปกวางทอง หลวงปู่บอกว่า “แค่รูปกวางทอง…ก็เหลือกินแล้ว” ให้ดูแสงตรงศีรษะหลวงปู่ คือมงกุฎของกษัตริย์
    "แค่รูปกวางทอง...ก็เหลือกินแล้ว"
    รูปกวางทอง ที่เราเห็นกันอยู่นี้ ถ้าสังเกตุให้ดี จะมีลูกศิษย์ท่านปรากฎในภาพด้วย สามคน ท่านหนึ่งเป็นป่าไม้หนองคาย ในขณะนั้น อีกท่านเป็นคุณลุงผู้เล่า อีกคน เป็นบุตรบุญธรรม(อยู่ที่ จ.หนองคาย)นั่งอยู่ด้านหลัง รูปกวางทอง คุณลุงท่านนี้ อยู่ที่บ้านโคก อำเภอโพนพิสัย จ.หนองคาย เล่าให้เด็กหนุ่มคนหนึ่ง ที่ศรัทธาปู่ทองทิพย์ฟังว่า “เท่าที่ลุงจำได้ ป่าไม้จังหวัด นิมนต์หลวงปู่ ไปโคราช และสถานที่ในรูปกวางทอง น่าจะเป็นที่เขาใหญ่”
    ขณะนั้นเอง หลวงปู่ท่านได้เล่าเรื่องในกาล ในสมัยหนึ่ง นางยักษ์กินคนไปเรื่อย จะถึงเมืองที่หลวงปู่ ปกครองสมัยก่อน นางยักษ์ชอบใจหลวงปู่อยากจะให้หลวงปู่ มาเป็นสามีนาง
    หลวงปู่ฯขัดขืน ไม่ยอมเป็นสามี นางยักษ์ใจร้าย ได้สาปหลวงปู่ ให้กลายเป็นกวางทอง และเป็นอยู่ได้ ๗ วัน ร่างกวางทอง ก็คืนสภาพเป็นร่างหลวงปู่ดังเดิม ซึ่งในขณะที่หลวงปู่ กำลังเล่าอยู่นั้น
    บังเอิญลูกชายวัยกำลังซน ของท่านป่าไม้ ไปเล่นกล้องตั้งสามขา ซึ่งหันหน้ากล้อง มาทางหลวงปู่พอดี มือไปถูกปุ่มกดเข้า จึงถ่ายติดรูปนี้ออกมา มีรูปกวางทอง แล้วถ้าสังเกตุดีๆ ที่ศรีษะหลวงปู่ จะเป็นคล้ายมงคล แต่แท้จริงก็คือมงกุฎของกษัตริย์ ที่ถูกนางยักษ์สาป เป็นกวางทอง นั่นเอง
    พอล้างรูปออกมา ก็ปรากฎเป็นรูปเช่นนี้ ทำให้ลูกศิษย์พากันตกตะลึงไปตามๆกัน และได้คะยั้นคะยอ บอกหลวงปู่ว่า จะนำรูปนี้ลงหนังสือพิมพ์ แต่หลวงปู่ ท่านได้ทัดทานห้ามไว้ เพราะท่านไม่ชอบดัง เหมือนคำท่านว่า"ดีบ่อดัง ดังบ่อดี" และท่าน ยังไดักำชับบุคคลที่อยู่ในรูปว่า
    "รูปนี้ มีรูปเฮา และ ก็มีรูปสู คนเขาได้ไป ก็นำไปกราบไหว้ ดังนั้น เมื่อเขาไหว้เฮา เขาก็ไหว้สูด้วย ฉะนั้น สมควรปฏิบัติตัวให้ดี สมกับที่เขาไหว้ด้วยล่ะ"
    หลวงปู่ทองทิพย์ พุทธปัญโญ วัดป่าสีดาพระรามลักษณ์รัตนโคตร ต.สีกา อ.เมือง จ.หนองคาย(มรณภาพ 7 มี.ค.2544)
    คัดลอก ข้อมูลบางส่วน จาก หมอเสือ
    วันหนึ่งหลวงปู่ฯ ท่านเล่าเกี่ยวกับประสบการณ์ที่คนเขาประสบมาเกี่ยวกับรูปของหลวงปู่ เช่น รูปที่มีกวางทอง รูปที่ปู่มีตาเพชร เป็นต้น มีวันหนึ่งหลังจากจัดงานบุญเดือนสามถวายหลวงปู่ กลางคืนมีแสดงโปงลาง ได้ถ่ายรูปหลวงปู่ขณะที่ท่านนั่งดูโปงลาง เมื่อไปล้างฟิล์มปรากฏเป็นแสงดังที่เห็นในภาพ ก็นำรูปไปถามหลวงปู่ว่าแสงในรูปเป็นแสงอะไร หลวงปู่ท่านบอกว่า เป็นแสงพระเจ้าห้าพระองค์ (ไม้เท้าพระเจ้า5 พระองค์) ท่านว่า “รูปนี้ดีกว่า…รูปกวางทอง” และบอกให้เอารูปนี้ติดตัวด้วย หลังจากนั้นได้นำฟิล์มไปขยายเป็นรูปใหญ่ นำไปถวายหลวงปู่
    หลวงปู่ท่านบอกว่า คนที่พระจะคุ้มครองรักษานั้น ต้องเป็นคนดีมีศีลธรรมด้วย ฟังจากที่หลวงปู่เล่า รูปของท่านเพียงรูปเดียวก็มีอานุภาพเหลือเฟือแล้ว
    หลวงปู่ท่านไม่ได้เน้นเรื่องวัตถุมงคล หลวงปู่ท่านให้ความสำคัญเกี่ยวกับการปฏิบัติจิตภาวนาเป็นหลักใหญ่ หลวงปู่ท่านจะรู้หมดว่าใครสร้างบารมีมาแบบไหน จะต้องภาวนาอย่างไร ท่านจะให้แนวทางการปฏิบัติตามบารมีของแต่ละคน สำหรับคนที่ไม่มีวาสนาบารมีในการภาวนา ท่านก็จะไม่สอน

    ในงานบุญเดือนสาม สมัยที่หลวงปู่ทองทิพย์มีชีวิตอยู่ มีพระองค์หนึ่งออกท้วมผิวคล้ำ ๆ ในจีวรที่ขาด ๆ ปะแล้วปะอีก สะพายถุงปุ๋ย หมอบคลานเข้ามาแสดงกิริยาอันนอบน้อม กราบหลวงปู่ด้วยความเคารพ และยังบีบนวดมือและเท้าให้หลวงปู่อีกด้วย หลังจากที่พระรูปนั้นกลับไปแล้ว หลวงปู่จึงบอกว่า นั้นแหละปู่เณรคำ เพิ่น(ท่าน)มาจากภูเขาควาย (คนละองค์..ที่มีข่าวดังนะ)

    เรื่องปู่เณรคำ ท่านเป็นเณรจริง ๆ เป็นเณรอภิญญา ท่านอยู่ที่ภูเขาควาย(อีกมิติ) ท่านจะไปมาไม่ซ้ำแบบ บ้างก็มาแบบเห็นตัวตน บ้างก็มารูปลักษณ์อื่น ๆ เวลาที่ท่านมาจะนั่งข้างล้างต่ำกว่าหลวงปู่ทุกครั้ง
    หลวงปู่ทองทิพย์ ท่าน จะพูดถึง พระที่มีบารมีแก่กล้า ให้ลูกศิษย์ฟัง" เช่น หลวงปู่เทพโลกอุดร หลวงปู่ทวด หลวงปู่โต หลวงปู่พิบูลย์ วัดพระแท่นบ้านแดง จ.อุดรธานี และ หลวงปู่สีทัตถ์ หลวงปู่ทองทิพย์เล่าว่า พ่อแม่สีทัตถ์ท่านเป็นพระโพธิ์สัตว์ จะเป็นพระพุทธเจ้า ๑ ใน ๑๐ องค์ข้างหน้า หลวงปู่ว่าอดีตหลวงปู่สีทตถ์ท่านคือ “อสุรินทราหูโพธิสัตว์”
    หลวงปู่ทองทิพย์ ยังพูดถึง หลวงปู่สรวง(เทวดาเล่นดิน) ..หลวงปู่สรวงกับหลวงปุ่ทองทิพย์ท่านสร้างบารมีมาด้วยกันนานหลายร้อยปี หลวงปู่สรวงท่านมาหา และถวายเขี้ยวเสือ ให้กับหลวงปู่ทองทิพย์ หลวงปู่ทองทิพย์บอกให้ลูกศิษย์ไปกราบหลวงปู่สรวงเอาบุญ
    พอลุกศิษย์ไปถึงหลวงปู่สรวงท่านก็ทักขึ้นก่อนว่า เป็นลูกศิษย์หลวงปู่ทองทิพย์ใช่ไหม? เขาตอบว่าใช่ครับหลวงปู่ หลวงปู่ทองทิพย์ให้มากราบ หลวงปู่สรวงท่านก็ว่า ดีแล้วมาเจอเฮากราบเฮานะ แล้วท่านก็ให้พรเป็นภาษาเขมร
    หลวงปู่พูดถึง พ่อท่านคล้าย วัดสวนขัน จะพูดถึงพระดีที่น่ากราบไหว้ ส่วนฆาราวาส คือ "ปู่บุญเหลือ สุรีรัตน์" ผู้สร้าง "อาศรมแก้วกู่"
    ปู่เหลือ เป็น...นักพรต ผู้ทรงศีล ถือศีล เคร่งวิปัสสนา ... ร่างไม่ได้เปื่อยเน่า และสานุศิษย์บอกว่า เส้นผมของปู่เหลือ จะเป็นสีดำ และเป็นสีขาว สลับสับเปลี่ยน แบบนี้อยู่เรื่อยๆ
    ในวันหนึ่งที่หลวงป๋า เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสด อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี ได้ขึ้นไปกราบหลวงปู่ทองทิพย์เป็นครั้งแรก เมื่อเข้าไปถึงวัดก็ปรากฏว่าหลวงปู่ทองทิพย์ท่านนั่งรออยู่แล้ว พอหลวงป๋าท่านเข้าไปกราบหลวงปู่ทองทิพย์ก็พูดขึ้นให้ได้ยินทั่วกันว่า "อ้าว พระสุมังคละมาแล้ว" (พระพุทธเจ้าองค์ที่ 10 ที่มีพระนามว่า "พระสุมังคละพุทธเจ้า" ) นั่นเอง
    ขอบคุณข้อมูลจาก : Mano Rata
    พญากวางทอง หนึ่งในสิบชาติของพระศรีอาริยเมตตรัย
    มีวันหนึ่งช่วงบ่าย ผมนั่งอยู่กับหลวงปู่ ท่านถามผมว่า "อยากรู้สิบชาติสุดท้ายของพระศรีฯบ่ เฮาจะเล่าให้ฟัง" ผมรีบตอบหลวงปู่ไปทันทีว่า อยากรู้ครับปู่ หลวงปู่ท่านก็เริ่มเล่าย้อนไปชาติที่หนึ่ง ท่านเป็นพระจักรพรรดิ์ พร้อมทั้งรายละเอียดของชาตินั้นๆ ไล่ชาติมาเรื่อยๆ จนมาถึงชาติที่ท่านเป็นพญาสุวรรณคำแดง ที่เป็นลูกเจ้าเมืองทางเหนือ ท่านออกไปล่าสัตว์ นางยักษ์มาเห็นท่านว่ามีรูปงาม ยักษ์จะเอาท่านทำผัว แต่ท่านไม่ยอม จึงถูกนางยักษ์สาปให้เป็นกวางทองอยู่ที่ถ้ำเชียงดาว ฯลฯ
    และชาติสุดท้ายของพระศรีฯ คือหลวงปู่ทองทิพย์…
    #รูปถ่ายกวางทอง
    #หลวงปู่ทองทิพย์

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    รูปกวางทองหลวงปู่ทองทิพย์ ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250730_004354.jpg IMG_20250730_004414.jpg
     
  16. นายสุดจินดา

    นายสุดจินดา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +50
    จองบูชาครับ
     
  17. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,465
    ค่าพลัง:
    +21,421
    วันนี้ เมื่อวาน นี้ จัดส่ง
    1753865199240.jpg 1753865298988.jpg
    ขอบคุณครับ
     
  18. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,465
    ค่าพลัง:
    +21,421
    [​IMG] [​IMG]

    หลวงปู่ดู่ท่านเคยกล่าวถึงหลวงพ่อทองสุข
    ว่าท่านศักดิ์สิทธิ์มากๆ
    พระพุทธรูปสัมฤทธิ์ทรงเครื่อง ปางมารวิชัย เรียกกันเป็นสามัญว่า “ หลวงพ่อสุขนามเดิมของท่าน คือ "หลวงพ่อทองสุขสัมฤทธิ์ " ซึ่งประดิษฐานอยู่ภายในหอพระพุทธรูป (ข้างหอสวดมนต์ด้านตะวันออก)
    พระพุทธรูปองค์นี้จะสร้างแต่สมัยใด ไม่มีตำนานปรากฏเดิมประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถ แถวหน้าพระประธาน สันนิษฐานว่า คงจะมีมาแต่เดิมในวัดนี้ เป็นพระพุทธรูปที่มีลักษณะงดงามองค์หนึ่ง เป็นพระทรงเครื่องแบบมหาจักรพรรดิ์ราชาธิวาส สวมมงกุฎ มีกุณฑล ทับทรวงสังวาล พาหุรัด ประดับด้วยเนาวรัตน์ ประทับนั่งขัดสมาธิ เมื่อกรุงศรีอยุธยาแตกครั้งสุดท้าย ก็รอดพ้นจากการทำลายล้างผลาญของข้าศึกได้อย่างน่าอัศจรรย์ นับว่าเป็นพระพุทธรูปสำคัญองค์หนึ่งในสมัยกรุงศรีอยุธยา ที่ยังอยู่ในสภาพบริบูรณ์ มาจนถึงทุกวันนี้ชาวบ้านผู้สูงอายุบางคนเล่าว่า เคยเห็นองค์พระพุทธรูป ประดับด้วยเพชร พลอย ทับทิม ตามพระอุระและพาหา บนพระอังสะทั้งสองข้างประดับด้วยอินทรธนู แต่ในปัจจุบันไม่มีอีกแล้ว ไม่ทราบว่าอันตธานไปแต่เมื่อใด
    พระพุทธรูปองค์นี้มีลักษณะแปลกประหลาด กว่าพระพุทธรูปองค์อื่นในประเทศไทย คือ พระเศียรตอนเหนือพระนลาฏเปิดออกได้กับพระเกศมาลาถอดได้ เมื่อปิดไว้ตามเดิมแล้วจะแนบสนิทเกือบเป็นชิ้นเดียวกันไม่ปรากฏรอยเลย ภายในพระเศียร เป็นบ่อกว้างลึกลงไปเกือบถึงพระศอ มีน้ำไหลซึมออกมาตลอดเวลาเหมือนหยาดน้ำเหงื่อ เป็นน้ำใสเย็นบริสุทธิ์ปราศจากมลทิน สามารถรับประทานได้ โดยปราศจากอันตรายใดๆ และไม่ขาดแห้ง ปรากฏเป็นอัศจรรย์อยู่เช่นนี้ตลอดมาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว แม้จะตักออกมาแล้วใช้สำลีชุบหรือเช็ดให้แห้งบถือน้ำในพระเศียรของพระพุทธรูปองค์นี้ว่าเป็น “น้ำศักดิ์สิทธิ์” เกิดขึ้นด้วยอำนาจอภินิหารบารมี สามารถบำบัดรักษาสรรพโรคภัยไข้เจ็บและบรรเทาทุกข์ร้อนให้ความสุขความร่มเย็นได้ ต่างพากันเคารพนับถือว่าเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์และกอปรด้วยอภินิหาร ทำให้ท่านมีกิตติศัพท์เลื่องลือไปทั่วทั้งจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและใกล้ไกลจึงพากันเดินทางมานมัสการขอพึ่งบารมีท่านทั้งขอน้ำมนต์และลาภสักการะกันมาตลอด

    เรื่องราวของพระพุทธรูป “หลวงพ่อทองสุขสัมฤทธิ์” องค์นี้ ในด้านอภินิหารเท่าที่ชาวบ้านได้ทราบและจดจำเล่าสืบต่อๆกันมาจนทุกวันนี้ มีอยู่มากมายเหลือจะพรรณนา แม้หนังสือพิมพ์บางฉบับก็เคยนำไปลงเป็นข่าวอยู่เสมอๆ และทราบกันว่า สมัยหนึ่ง มีข้าราชการผู้ใหญ่ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้อัญเชิญพระพุทธรูปองค์นี้ไปจากวัดตูม ไปประดิษฐานไว้ในบริเวณเกาะเมือง ตั้งแต่อัญเชิญไปแล้ว ข้าราชการผู้นั้นก็เกิดความไม่สบายใจเกิดความเดือดร้อนภายในครอบครัวตลอดเวลา และผู้คนที่มีส่วนแบกหามเคลื่อนองค์ต่างเจ็บป่วยทั่วทุกคน ถึงกับทุกคนฝันตรงกันว่า ถ้าไม่นำไปคืนจะเดือดร้อนกันทั่วหน้าจึงต้องนำกลับคืนมาประดิษฐานไว้ ณ วัดตูม ตามเดิม
    นอกจากนี้ภายในวัดตูม ยังมีสระน้ำอยู่ข้างพระอุโบสถด้านตะวันตกกล่าวกันว่าน้ำในสระนี้ได้ใช้ในการทำพิธีลงเครื่องพิชัยสงคราม เช่น ชุบพระแสงตลอดมา เมื่อครั้งสมเด็จพระปิยมหาราชเจ้า รัชกาลที่ ๕ เสด็จพระราชดำเนินครั้งหลังสุด พ.ศ. ๒๔๕๑ เพื่อทรงประกอบพิธีชุบพระแสงขรรค์ราชศัตรา มีราษฎรไปรอเฝ้าชมพระบารมีกันเต็มท้องน้ำ

    พิธีการชุบพระแสงของพระมหากษัตริย์ ตามที่ทราบมามีพิธีการสลับซับซ้อนมาก โดยชั้นแรกจะต้องนำผงฝุ่นที่ทำเป็นเลขยันต์ จากนั้นก็ให้พระเถระผู้ใหญ่สลับกันสวดพระพุทธมนต์สลับกันเป็นเวลา ๗ วัน ๗ คืนครั้นเมื่อสวดเสร็จแล้ว จะมีการนำน้ำศักดิ์สิทธิ์ภายในพระเศียรของหลวงพ่อทองสุขมาละลายผงฝุ่นที่ทำเป็นเลขยันต์ ซึ่งเมื่อละลายแล้ว จะมีลักษณะเหมือนดินสอพองละลายน้ำ จากนั้นจึงนำมาเขียนเป็นอักขระลงที่พระแสงดาบทิ้งไว้ให้แห้ง เมื่อแห้งดีแล้วจึงนำพระแสงดาบเข้าไปในเตาเผา จากนั้นจึงไปชุบลงในสระน้ำลงเครื่องพิชัยสงคราม ที่อยู่ข้างพระอุโบสถ เมื่อพระแสงเย็นแล้วจะเกิดเป็นตัวนูนขึ้นมาซึ่งเป็นที่อัศจรรย์ยิ่ง หลังจากนั้นจึงนำมาล้างด้วยน้ำศักดิ์สิทธิ์ซึ่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ว่านี้ก็คือ น้ำที่อยู่ในพระเศียรของหลวงพ่อทองสุขอีกครั้งหนึ่งนั่นเอง
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    Scan2 (1).jpg


    ประวัติ หลวงพ่อหมื่นอุดม ชาติการุณย์ (โดยย่อ)
    พระครูสิริปุญญาทร (หลวงพ่อหมื่นอุดม ชาติการุณย์ เกิดวันอังคารที่ ๒๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๐ ปีฉลู ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ กรุงเทพฯ ได้รับพระราชทานชื่อและนามสกุลจากสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าว่า เด็กชายหมื่นอุดม ชาติการุณย์ บิดา มารดา เป็นชาวอยุธยาโดยกำเนิด ท่านเรียนวิชาต่อเรือจากวิทยาลัยการต่อเรือ พระนครศรีอยุธยา ปี พ.ศ. ๒๔๙๗ อายุ ๑๗ ปี
    บวชเป็นสามเณร ณ วัดตูม ศึกษาวิชาต่อจนจบเทียบเท่ามัธยมศึกษาปีที่ ๖ และศึกษาวิชาการต่าง ๆ ทางธรรมะมาโดยตลอด โดยได้ศึกษาเพิ่มเติมด้านปฏิบัติธรรมจากสำนักหลวงพ่อโอภาสี บางมด อีกทั้งยังได้เรียนรู้ทางด้านวิทยาคม จากครูอาจารย์หลายสำนัก เพราะนิสัยรัก
    เมื่ออายุครบ ๒๐ ปีในปี พ.ศ. ๒๕๐๐ ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ โดยมีพระครูสิริปุญญาทร (หลวงปู่ถนอม) เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า จรณธมฺโม จากนั้นเป็นต้นมาท่านได้ศึกษาปฏิบัติธรรมธุดงค์กรรมฐานโดยตรง
    ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน ณ พระที่นั่งอมรินทร์วินิจฉัยในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๔ เป็น พระครูสิริปุญญาทร (ผช.จอล.ชั้นโท)
    ได้รับพระบัญชา แต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสพระอารามหลวงจากสมเด็จพระสังฆราช วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม (พระอริยวงศาคตญารวาสนมหาเถระ) เมื่ออายุ ๔๕ ปี พรรษาที่ ๒๔ จนถึงปัจจุบันนี้ อายุ ๖๘ ปี พรรษา ๔๗ เป็นเจ้าอาวาสองค์ที่ ๙ ของวัดตูม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
    หลวงพ่อละสังขารไปโดยอาการสงบ ณ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ สิริอายุได้ ๖๘ ปี ๔๗ พรรษา
    ที่มา : www.dhamma5minutes.com
    อาลัย หลวงพ่อหมื่นอุดม
    (พระครูสิริปุญญาธร)
    ในชีวิตของผู้เขียนแม้จะมีหลวงปู่-หลวงพ่อที่เคารพนับถือเป็นครูบาอาจารย์อยู่หลายรูป แต่ที่กล้ากล่าวว่าท่านเป็น ครู...เป็นคุรุ อย่างเต็มปากเต็มคำ เพราะท่านให้ความเมตตาอบรมสั่งสอน คอยชี้แนะแนวทางทั้งหลายทั้งปวงให้ มีอยู่ไม่กี่รูป หนึ่งในจำนวนไม่กี่รูปนั้นมีหลวงพ่อหมื่นอุดม ชาติการุณย์ หรือพระครูสิริปุญญาธร เจ้าอาวาสวัดตูม จังหวัดอยุธยา ซึ่งวันนี้หลวงพ่อได้ทิ้งร่างวางขันธ์ ลาจากโลกนี้ไปแล้ว เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม (2549) ที่ผ่านมา
    แม้จะเรียนรู้ว่า ชาติ...ชรา มรณะ เป็นเรื่องธรรมดาของโลก มิหนำซ้ำเชื่อว่า ด้วยภูมิธรรมที่หลวงพ่อได้บวชเรียนมาตั้งแต่เป็นสามเณร และอุปสมบทเป็นพระภิกษุ...ครองเพศนักบวช เป็นพระกรรมฐานปฏิบัติธรรมมาอย่างเคร่งครัดตลอดอายุขัย ย่อมนำพาดวงวิญญาณของหลวงพ่อสู่ความสุขสงบศานติอย่างแน่นอน กระนั้นด้วยความอาลัยรัก ผมไปกราบลาหลวงพ่อเป็นครั้งสุดท้าย กราบลงบนเท้าที่เย็นชืดของร่างที่ไร้วิญญาณที่ท่านได้เมตตาทิ้งธรรมะสอนลูกศิษย์เป็นครั้งสุดท้ายว่า...
    ‘มรณะ ธัมโมมหิ อนัตติโต...’ คนเรามีความตายเป็นธรรมดา จะล่วงพ้นความตายไปไม่ได้!’
    น้ำตาของผู้เขียนยังรายรินลงจนได้
    ผู้เขียนได้กราบหลวงพ่อหมื่นอุดม ครั้งแรกประมาณปี 2531 เพราะการนำพาของทมยันตี เพราะชอบในปฏิปทาอันอ่อนน้อม จริยวัตรอันงดงามของท่าน จึงปวารณาตัวเป็นลูกศิษย์มาตั้งแต่คราวนั้น หลายคราที่สงสัยในเรื่องการปฏิบัติก็แวะเวียนสอบถาม ได้คำตอบคลายสงสัยทุกครั้ง มิหนำซ้ำบางเวลาเพียงพบหน้ากราบลง หลวงพ่อสามารถตอบคำถามที่ค้างคาในใจโดยที่เรายังไม่ทันเอ่ยคำด้วยซ้ำ
    นี่คือสิ่งที่ ‘เรา’ คือ ภูเตศวรกับทมยันตี ประจักษ์ชัดในอำนาจจิตของหลวงพ่อ
    เพราะความที่ท่านเป็นนักปฏิบัติสมาธิ ทำให้คนที่มาเยือนวัดตูม น้อยคนจะได้พบท่าน ด้วยเวลาส่วนใหญ่ทั้งกลางวันกลางคืนประตูกุฏิของหลวงพ่อจะปิดด้วยผู้เป็นเจ้าของคร่ำเคร่งอยู่กับงานชำระสะสางกิเลส บางคราแม้แต่เราแวะไปกราบนมัสการ ลูกศิษย์ในวัดแอบกระซิบเบา ๆ
    “ท่านไม่ออกมาฉันอาหารเจ็ดวันแล้ว”
    มาถึงไม่มีโอกาสพบ เราก็ได้แต่กราบพระประธานในศาลา คือหลวงพ่อทองสุข สัมฤทธิ์ ที่เป็นพระเก่าแก่ทรงเครื่องสมัยอยุธยาแล้วก็กลับ หากบางครั้งที่มีความจำเป็นมาก ๆ ก่อนเดินทางไปวัดตูม เราจะจุดธูปบอกกล่าวหลวงพ่อหมื่นฯ ขออนุญาตท่าน และถ้าทำอย่างนี้พอถึงวัดกราบพระประธานเสร็จ ประตูกุฏิของท่านจะเปิดกว้างออกพร้อมรอยยิ้มเมตตาของหลวงพ่อจะปรากฏขึ้นทุกครา
    กิตติคุณของหลวงพ่อหมื่นอุดม ที่เราสองคนรู้ชัดแจ้งมานานก็คือ ท่านเป็นพระภิกษุที่มีวาจาศักดิ์สิทธิ์ ลองเมื่อไหร่ที่หลวงพ่อหลับตาลงแค่อึดใจแล้วลืมตาขึ้นเอ่ยคำให้พรหรือทำนายอะไร ผลจะออกมาดังคำพูดของท่านทุกประการ
    แม้แต่ผู้เขียนก็ประสบพบเห็นมาด้วยตนเองแล้ว!
    กับอีกคุณวิเศษของหลวงพ่อคือ ‘น้ำมนต์ดอกบัว’ ของท่าน ที่ลูกศิษย์ลูกหาล้วนทราบ ใครตกเคราะห์พบวิบากกรรมหนักหนาถ้าได้รดน้ำมนต์ของหลวงพ่อวัดตูม เคราะห์กรรมจะบรรเทาเบาบางอย่างรวดเร็ว เรื่องนี้แม้แต่อาจารย์สะอาด แตงหอม แห่งวัดบางรัก พระเถราจารย์อีกรูปของอำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง ยังเอ่ยคำยกย่อง
    “...น้ำมนต์ของหลวงพ่อหมื่นอุดมขลังนัก!”
    เมื่อครั้งที่เราสองคนเตรียมจัดพิธีสังเวยบูรพกษัตริยาธิราช ณ ลานพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ที่จังหวัดสุโขทัย หลวงพ่อได้ทำนายล่วงหน้า ‘งานนี้จะมีผู้คอยขัดขวาง’ และก็จริงอย่างที่ท่านกล่าว กว่าทุกอย่างจะจบสิ้นลงได้ เราสองคนแทบเอาตัวไม่รอด หากไม่ได้บารมีของหลวงพ่อที่อุตส่าห์เดินทางมาร่วมพิธีด้วยความเมตตาลูกศิษย์ เชื่อว่างานนี้คงล่มอย่างไม่เป็นท่า
    “เป็นชาวพุทธ...ควรเดินทางไปนมัสการสังเวชนียสถานที่อินเดียสักครั้ง” คือคำปรารภของหลวงพ่อกับผู้เขียนและทมยันตี “อยากให้โยมพี่กับแม้วไปจริง ๆ”
    เพราะคำกล่าวของหลวงพ่อ...เพราะเมตตาของท่านที่มีต่อลูกศิษย์ทั้งสอง...ในปี 2539 เราสองคนจึงติดสอยห้อยตามท่านไปอินเดียเป็นครั้งแรก...และพบกับความปีติแห่งจิตใจ ‘ใต้ควงต้นพระศรีมหาโพธิ์’ อย่างไม่เคยมีมาก่อนในชีวิต ยิ่งกว่านั้นคือ ความสิ้นสงสัยว่าพระพุทธเจ้าของเรานั้นมีจริงหรือไม่?
    นั่นคือเหตุผล...ว่าทำไมเราจึงย้อนกลับไปเยือนอินเดีย แดนดินถิ่นพุทธภูมิ อีกหลายครั้งหลายครา อีกทั้งอาราธนานิมนต์ครูบาอาจารย์ไปนมัสการสังเวชนียสถานอย่างไม่รู้เบื่อหน่าย...
    นี่คือ ‘คุณ’ ของครูบาอาจารย์ ที่แนะนำสั่งสอนศิษย์ คำแนะนำของครูบาอาจารย์จะนำพาเราไปสู่สิ่งที่ดีงาม สู่สิ่งที่ให้ประโยชน์กับจิตวิญญาณตนเสมอ
    วันนี้หลวงพ่อหมื่นอุดม ชาติการุณย์ ได้จากโลกนี้ไปอย่างสงบ วันนี้ศพของหลวงพ่อยังตั้งอยู่ที่วัดตูม จังหวัดอยุธยา หลังสวดอภิธรรมครบเจ็ดวัน จะเก็บสังขารของท่านเอาไว้ร้อยวัน ให้ลูกศิษย์ลูกหาที่อยู่ไกล...รู้ข่าวช้า ได้แวะเวียนมากราบนมัสการ จากนั้นจึงจัดพิธีประชุมเพลิง
    เมื่อวันเสาร์ที่ 29 กรกฎาคม ที่ผ่านมา คณะของคุณหญิงวิมล ศิริไพบูลย์ เป็นเจ้าภาพสวดอภิธรรม เพราะงานนี้ผู้เขียนแว่ว ๆ เข้าหูว่า หลังเผาศพหลวงพ่อแล้ว ส่วนหนึ่งของอังคารธาตุ ลูกศิษย์ใกล้ชิดจะนำไปลอยที่แม่น้ำคงคาที่อินเดีย เพราะเห็นว่าหลวงพ่อท่านชอบเดินทางไปอินเดียมาก เท่าที่รู้ ในชีวิตของท่านนั้นได้ไปนมัสการสังเวชนียสถานแล้วถึง 18 ครั้ง
    และครั้งที่ 19 นี้ คงเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งครั้งนี้บางส่วนของสรีระอันเป็นเถ้าถ่านของหลวงพ่อจะอยู่ที่แดนดินถิ่นพุทธภูมิตลอดไป
    จากปี 2531 เป็นต้นมา ภูเตศวรได้กราบหลวงพ่อหลายครา ท่านอบรมสั่งสอนมาโดยตลอด หลายประโยคยังแนบแน่นในความทรงจำ หลายอย่างคือคำเตือนใจ...
    หน้าที่ของชาวพุทธที่ต้องธำรงรักษาบวรพุทธศาสนา รักษาใจให้มีศานติสุข รู้เท่าทันกิเลสมารด้วยสัมมาสติและสัมมาสมาธิ
    และที่ประทับใจสุด ๆ ก็ในช่วงเวลาเกิดความเบื่อหน่ายอย่างรุนแรง ท่านได้อบรมด้วยคำเทศนาเหมือนมีดผ่าเข้ากลางใจ...
    “การบวชเป็นรูปแบบนะแม้ว...ถ้าคนเรารู้ตัวตนของตน รู้หน้าที่ที่ควรทำ นั่นคือความประเสริฐ เป็นพระไม่ได้อยู่ที่เครื่องนุ่งห่ม จะนุ่งขาวนุ่งดำถ้าใจเป็นพระ คนคนนั้นก็เป็นพระ การเป็นนักบวชเป็นมุนีอยู่ที่ใจมากกว่าอยู่ที่เครื่องแบบ”
    วันนี้หลวงพ่อหมื่นอุดม ชาติการุณย์ ละสังขารแล้วด้วยวัย 67 ปี ก่อนวันคล้ายวันเกิดในวันที่ 27 กรกฎาคม เพียง 3 วัน ท่ามกลางความอาลัยรักของลูกศิษย์ลูกหามากมาย แม้หลวงพ่อจะจากลาไปตามกฎแห่งไตรลักษณ์ หากผลงานความดีที่มีต่อวงการพระศาสนา ยังจะดำรงอยู่อีกนานแสนนาน โดยเฉพาะคำสั่งสอนของหลวงพ่อจะอยู่ในใจลูกศิษย์ทุกคนตลอดกาล
    “จงรักษา กาย วาจา และใจให้บริสุทธิ์อยู่เสมอ!” คือคำกล่าวของหลวงพ่อ...
    “ถ้ากายวาจาใจบริสุทธิ์ จะนุ่งห่มด้วยผ้าสีอะไรก็เป็นพระแล้ว!”

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ๑.พระผงหลวงพ่อสุขสัมฤทธิ์วัดตูม
    ๒.เหรียญหลวงพ่อหมื่นอุดม
    ๓.รูปถ่ายหลวงพ่อหมุนอุดมขนาดประมาณ ๑ นิ้ว วัดตูม ยกชุด


    ให้บูชา
    350 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250730_172253.jpg IMG_20250730_172310.jpg
     
  19. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,465
    ค่าพลัง:
    +21,421
    FB_IMG_1753873049275.jpg

    เรื่องเก่าเล่าใหม่ เทพเจ้าแห่งความเมตตาแห่งอีสานใต้ ต้นแม่น้ำมูล สิงห์เหนือเสือใต้
    หลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ วัดบ้านไร่ อ.ด่านขุนทด เข้ากราบนมัสการ หลวงปู่นิล อิสฺสริโก วัดครบุรี อ.ครบุรี โคราชในอดีต ภาพก่อนปี พ.ศ.2537
    ประวัติของพระครูนครธรรมโฆสิต (นิล อิสฺสริโก)
    วัดครบุรี ต.ครบุรีใต้ อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา
    พระครูนครธรรมโฆษิต หรือ หลวงปู่นิล อิสฺสริโก นามเดิม นิล แหวนครบุรี เกิดเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2445 บิดาท่านชื่อ สี มารดาท่านชื่อ พิมพ์ แหวนครบุรี มีพี่น้อง 3 คน ท่านเป็นคนที่สอง อุปสมบทเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ.2465 ณ พัทธสีมาวัดนกออก พระอุปัชฌาย์ของท่านคือ หลวงปู่กลิ่น วัดนกออก พระอธิการพรหม วัดป่าเลไลย์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ หลวงพ่อแก้ว วัดนกออก เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับสมณฉายาว่า อิสฺสริโก ด้านวิชาอาคมขลังนั้นท่านได้ตำรามาจาก หลวงพ่อหว่าง ซึ่งเป็นตำราของ หลวงพ่อน้อย วัดบ้านไผ่ ครบุรี และ หลวงพ่อโต วัดปอแดง อาจารย์อีกรูปหนึ่งของ หลวงพ่อสอน วัดเสิงสาง ท่านได้ศึกษาจนมีวิชาอาคมแก่กล้า เชื่อกันว่าท่านสำเร็จกสิณและพระธาตุกรรมฐาน หลายคนกล่าวว่า เวลาท่านเข้าโบสถ์ ปลุกเสกอธิษฐานจิต จะมีแสงไฟเปล่งประกายรอบกายท่าน
    กิตติคุณ บางท่านเชื่อว่าท่านสำเร็จอภิญญา มีพลังจิตเข้มแข็ง อธิษฐานปลุกเสกจนวัตถุมงคลของท่านเป็นที่เลื่องลือ ที่โดดเด่นทางเมตตามหานิยม และ คุ้มครองป้องกัน นอกจากท่านเป็นครูบาอาจารย์ที่มากด้วยวิชาความรู้แล้ว เรื่องวิชาแพทย์แผนโบราณ ยาสมุนไพร ท่านเป็นหนึ่งมาโดยตลอด สุดยอดวัตถุมงคลที่ลูกศิษย์ลูกหาหวงแหนมากที่สุด คือ พระตะกั่วเถื่อน รูปถ่ายขาวดำ เหรียญรูปไข่ มหาอุตม์ไม้รวก สีผึ้งเจ็ดอังคาร ตะกรุดมหาอำนาจหนังเสือ
    ท่านมรณภาพ เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ.2537 รวมสิริอายุได้ 92 ปี 6 เดือน 72 พรรษา
    #หลวงพ่อคูณ ในอดีต แม้วันนี้ท่านจะละสังขารไปแล้ว แต่คุณงามความดี และคำสอนของท่านจะตราตรึงอยู่ในหัวใจชาวไทยตลอดไป
    #ประวัติหลวงพ่อคูณ
    หลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ หรือ พระเทพวิทยาคม เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๖๖ ตรงกับแรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีกุน ที่บ้านไร่ หมู่ ๖ ตำบลกุดพิมาน อำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา ในครอบครัวของชาวไร่ชาวนาที่อยู่ห่างไกลความเจริญ บิดาชื่อ นายบุญ ฉัตรพลกรัง มารดาชื่อ นางทองขาว ฉัตรพลกรัง มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 3 คน คือ พระเทพวิทยาคม (คูณ ปริสุทโธ) นางคำมั่น วงษ์กาญจนรัตน์ นางทองหล่อ เพ็ญจันทร์ บิดามารดาของหลวงพ่อคูณ ได้เสียชีวิตลงในขณะที่ลูกทั้ง ๓ คน ยังเป็นเด็ก จึงต้องไปอยู่กับน้าสาว
    ในวัยเยาว์ ๖ - ๗ ขวบ ได้เข้าเรียนหนังสือ กับพระอาจารย์เชื่อม วิรโธ พระอาจารย์ฉาย และพระอาจารย์หลี ทั้งภาษาไทย และภาษาขอม ที่วัดบ้านไร่ สถานการศึกษาแห่งเดียวในหมู่บ้าน นอกจากเรียนภาษาไทยและขอมแล้ว พระอาจารย์ทั้ง ๓ ยังมีเมตตาอบรมสั่งสอนวิชา คาถาอาคม เพื่อป้องกันอันตรายต่าง ๆ ให้แก่หลวงพ่อคูณด้วย นับว่าหลวงพ่อคูณรู้วิชาไสยศาสตร์มาแต่เยาว์วัย เมื่ออายุครบการอุปสมบท คือ อายุได้ ๒๑ ปี ได้อุปสมบท ณ. พัทธสีมาวัดถนนหักใหญ่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๔๘๗ (หลักฐานบางแห่งว่า ปี ๒๔๘๖) ตรงกับวันศุกร์ เดือน ๖ ปีวอก โดยพระครูวิจารย์ดีกิจ อดีตเจ้าคณะอำเภอด่านขุนทด เป็นพระอุปัชฌาย์ พระกรรมวาจาจารย์ คือพระอาจารย์สุข วัดโคกรักษ์ หลวงพ่อคูณได้รับฉายาว่า ปริสุทโธ หลังจากที่อุปสมบทเป็นพระภิกษุเรียบร้อย ท่านได้ฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อแดง วัดบ้านหนองโพธิ์ ต.สำนักตะคร้อ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา (บางตำรากล่าวว่าเมื่อบรรพชาแล้วได้เล่าเรียนกับหลวงพ่อคง ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดถนนหักใหญ่ก่อน แล้ว หลวงพ่อคงจึงนำไปฝากกับหลวงพ่อแดง) หลวงพ่อแดง เป็นพระนักปฏิบัติทางด้านคันถธุระ และวิปัสสนาธุระ อย่างเคร่งครัด และทั้งเป็นพระเกจิอาจารย์ที่เรืองวิทยาคมเป็นอย่างยิ่ง จนเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของผู้คนและลูกศิษย์เป็นอย่างมาก
    กลุ่มหลวงปู่นิล อิสฺสริโก อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา

    #ประวัติหลวงปู่นิล วัดครบุรี
    เกจิสมถะ-พระหมอยา
    อดีตพระเกจิอาจารย์แห่งภาคอีสาน ที่มีวิทยาคมเข้มขลังและมีวาจาศักดิ์สิทธิ์เป็นที่ยอมรับของสาธุชนทั่วไปเมื่อราว 10 ปีที่ผ่านมา ปรากฏนามของ “หลวงปู่นิล อิสสริโก” วัดครบุรี อ.ครบุรี จ.นครราชีสมา อยู่ในลำดับต้นๆ
    ท่านเก่งทางแพทย์แผนโบราณ เชี่ยวชาญในตำรายารักษาชาวบ้านผู้เจ็บไข้ จนมีชื่อเสียงโด่งดังและถูกยกย่องให้เป็น “เทพเจ้าแห่งครบุรี”

    **************************
    หลวงปู่เป็นชาวเมืองโคราชโดยกำเนิด เกิดที่หมู่บ้านครบุรี ชาติกำเนิดมีพี่น้อง7คน
    หลวงพ่อครบุรี (นิล) หรือพระครูนครธรรมโฆสิต ผู้เปรียยประดุจบิดาของชาวบ้านทั้งหลายนี้บิดาของท่านชื่อสี แหวนครบุรี มารดาชื่อทิม แหวนครบุรี ท่านเกิด ๔ ๑๕ ๓ ปีขาล หรือ ตรงกับวันที่๑๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๔๕ ณ บ้านครบุรี ในสมัยนั้นขึ้นอยู่กับอำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา
    ตระกูลของท่านเป็นชาวนาอันบริสุทธิ์มาแต่กำเนิดชีวิตหลวงปู่ในปฐมวัยจึงเหมือนกับลูกชาวนาทั้งหลายที่ต้องช่วยเหลือผู้บังเกิดเกล้าทำไร่ไถ่นาตามแบบอย่างโบราณ ที่ทำต่อๆกันมา
    ลำดับญาติพี่น้องของหลวงปู่ และตัวหลวงปู่เองเป็นบุตรอันดับที่ ๖ โดยท่านมีพี่น้องร่วมอุทรเดียวกัน ๗ คนดังนี้
    ๑.นางขำ (เสียชีวิตแล้ว)
    ๒.นายกา (เสียชีวิตแล้ว)
    ๓.นางแก้ว (เสียชีวิตแล้ว)
    ๔.นายวาว (เสียชีวิตแล้ว
    ๕. นายบุญ (เสียชีวิตแล้ว)
    ๖.พระครูนครธรรมโฆสิต(นิล)
    ๗.นายอูบ (เสียชีวิตแล้ว)

    เยาว์วัยเป็นเด็กเรียบร้อย ชอบช่วยเหลือญาติพี่น้อง พออายุ 11 ปีได้ไปเป็นศิษย์วัดไทรโยง เรียนหนังสือเบื้องต้น ก่อนที่จะไปเรียนภาษาบาลีและขอม ที่สำนักเรียนวัดครบุรี โดยมีหลวงปู่สี วัดเชียงสา เป็นพระอาจารย์ รวมทั้งสอนคาถาอาคมต่างๆให้ด้วย
    ทั้งนี้ ได้ทำนายดวงชะตาของท่านไว้ว่า “วันข้างหน้าจะได้เป็นใหญ่ในหมู่คณะ” นอกจากนี้ ยังมีพระอาจารย์ชุก หลวงปู่ดอน และหลวงปู่เชย มาช่วยสอนวิชาการต่างๆเพิ่มเติม
    อายุ 21 ปี ได้เข้าอุปสมบทที่วัดนกออก อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา โดยมีหลวงปู่กลิ่น วัดนกออก เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงปู่พรม วัดป่าเลไลย์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ หลวงปู่แก้ว วัดนกออก เป็นพระอนุสาวนาจารย์
    ได้รับฉายาธรรมว่า “อิสฺสริโก” แปลว่า “ผู้มีความยิ่งใหญ่”
    บวชแล้วได้ไปจำพรรษาที่วัดครบุรี และสามารถสอบนักธรรมตรีได้ในพรรษาแรก หลวงปู่น้อย เจ้าอาวาสวัดหนองแวง (บ้านไผ่) เห็นท่านมีลายมือสวยงาม แตกฉานในภาษาขอม จึงขอให้ไปช่วยจารคาถาพันเป็นภาษาขอมเรื่องพระเวสสันดร
    รวมทั้งให้ช่วยซ่อมแซมสมุดข่อย สมุดใบลานที่บรรจุพระคาถา อาคม ไสยเวท อักขระเลขยันต์วิทยาการต่างๆ ทำให้ท่านได้ศึกษาจดจำไปด้วย
    หลวงปู่โต วัดปอแดง เป็นอาจารย์สอนทำเครื่องรางของขลัง ปลุกเสกด้วยพระเวทย์อันศักดิ์สิทธิ์ มีทั้งอยู่ยงคงกระพันและลุกตั้งได้ ดิ้นได้ ด้วยการฝึกพลังจิตให้เข้มแข็ง เจริญวิปัสสนากรรมฐาน จึงมีผู้กล่าวว่า หลวงปู่นิลสำเร็จวิชา “ธาตุกรรมบาน” หรือได้ “กสิณทั้ง 4 “(ดิน-น้ำ-ลม-ไฟ) แล้วตั้งแต่อายุยังน้อย
    นอกจากนี้ ท่านยังได้รับการสอนให้รู้จักยาสมุนไพรต่างๆ พร้อมทั้งวิธีรักษาโรคตามตำรับแพทย์แผนโบราณ
    ตำแหน่งหน้าที่และสมณศักดิ์ที่ได้รับ พ.ศ.2474 เป็นเจ้าคณะตำบลครบุรี (สะแกราช)) พ.ศ.2481 เป็นพระอุปัชฌาย์
    พ.ศ.2496 รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูชั้นตรี ที่ “พระครูนครธรรมโฆสิต “ พ.ศ.2507 เป็นเจ้าอาวาสวัดครบุรี พ.ศ.2513 เป็นพระครูชั้นโทในราชทินนามเดิม พ.ศ.2519 เป็นพระครูชั้นเอกในราชทินนามเดิม
    **************************
    หลวงปู่นิลท่านมีจิตใจใฝ่ธรรมะมาตั้งแต่ท่านยังเยาว์วัย ครั้งเมื่อได้อุปสมบทแล้วท่านได้ศึกษาวิปัสสนากรรมฐานจากพระอาจารย์ของท่าน จนมีสมาธิแก่กล้า สำเร็จวิชา “พระธาตุกัมมัฏฐาน” หรือ “กสิญจ์” ท่านมีคาถาอาคมแก่กล้าจนเป็นที่เลื่องลือทั่วภาคอีสาน มีเมตตาธรรมเปี่ยมล้นยากจะหาพระเถราจารย์รูปใดเสมอเหมือนในยุคปัจจุบัน วิทยาคมเข้มขลังและมีวาจาศักดิ์สิทธิ์จนเป็นที่ยอมรับของสาธุชนทั่วไป แต่ละวันจะมีประชาชนพากันหลั่งไหลไปกราบไหว้ท่านมิได้ขาด จนมีชื่อเสียงโด่งดังชาวบ้านยกย่องท่านเป็น “เทพเจ้าแห่งครบุรี”
    ครั้งหนึ่งเมื่อท่านนั่งวิปัสสนากรรมฐานอยู่หน้าพระประธาน ภายในพระอุโบสถ ได้มีลูกศิษย์ใกล้ชิดคนหนึ่งทราบว่าท่านอยู่ในโบสถ์เปิดประตูเข้าไปกลับพบแต่ความว่างเปล่า มีแต่ธูปปักอยู่ในกระถางเท่านั้น มองหาตัวหลวงปู่ไม่เห็น ลูกศิษย์คนนั้นจึงเอะใจ กลับไปถามพระลูกวัดว่า หลวงปู่นิลท่านอยู่ในโบสถ์แน่หรือ เปิดประตูเข้าไปทำไมจึงไม่เห็นท่าน เพื่อความแน่ใจเมื่อกลับมาดูอีกครั้ง พบหลวงปู่นิลท่านนั่งหลับตาทำสมาธิอยู่ภายในโบสถ์นั่นเอง จึงมั่นใจว่าหลวงปู่นิลท่านแสดงปาฏิหาริย์หายตัวได้แน่นอน
    มีอยู่วันหนึ่งชายหาปลาได้เห็นแสงนวลขาวพุ่งเป็นเส้นเหนือยอดโบสถ์วัดครบุรี ด้วยความอยากรู้ว่าเกิดจากอะไรจึงเข้าไปแอบดู ตรงรอยแตกหน้าต่างพบหลวงปู่นิลนั่งกัมมัฏฐานด้านพระประธานโดยมีแสงนวลขาวหมุนม้วนตัว เป็นเกลียวรอบร่างท่าน รุ่งเช้าข่าวนี้ก็กระจายทั่วหมู่บ้านมีชาวบ้านมากราบเรียนถามท่านถึงแสงนวลดังกล่าวแต่ท่านก็มิได้ให้ความกระจ่างอันใดเพราะ หลวงปู่นิลไม่ใช่พระอวดโอ้สรรพคุณ จนได้รับคำบอกเล่าจากพระอาจารย์กลั่น เขมจาโร ว่าแสงที่พบนั้นคือ ดวงธาตุ ซึ่งประกอบด้วย นะมะพะทะ ได้แก่ ดินน้ำลมไฟ เป็นวิชาที่หลวงปู่นิลท่านใช้หนุนไสยศาสตร์ระหว่างปลุกเสกให้ของขลังอยู่ยงคงกระพัน เมตตามหานิยมยิ่งขึ้น ท่านร่ำเรียนวิชานี้เป็นเวลากว่าสี่สิบปี จนสำเร็จบรรลุซึ่งวิชาพระธาตุกัมมัฏฐานนี้ ในปัจจุบันนี้มีพระผู้สำเร็จเพียงสองสามองค์เท่านั้น เพราะเป็นวิชาที่เรียนยากที่สุด
    หลวงปู่นิลท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ผู้ถือสมถะไม่โอ้อวดถือตนว่าเก่งกาจ ใครไปมาหาท่านจะได้รับแต่ความเมตตาจากท่านโดยทั่วกัน ท่านมีตำรายาแพทย์แผนโบราณ ซึ่งท่านเคยได้ร่ำเรียนมาจากอาจารย์ฆราวาสคนหนึ่งชื่อ “หมอแดง” เมื่อครั้งท่านยังเป็นพระภิกษุหนุ่ม จนมีความเชี่ยวชาญรักษาชาวบ้านผู้เจ็บไข้ได้ป่วยมาขอยาท่านไปกินเป็นประจำมิได้ขาด ไม่ว่าจะดึกดื่นเที่ยงคืนเพียงใดเรียกท่านได้ทุกเวลา และยาแผนโบราณหลวงปู่นิลนั้นสามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ได้ผลหายไอย่างน่าอัศจรรย์ ดังนั้นท่านจึงเป็นที่พึ่งของชาวบ้านในละแวกนั้น ไม่ว่าใกล้หรือไกลต่างให้ความเคารพนับถือท่านอย่างจริงใจกันทุกคน
    หลวงปู่นิลได้สร้างวัตถุมงคลครั้งแรกเมื่อต้นปี พ.ศ.๒๕๑๖ คือเหรียญรูปไข่ “พระครูนครธรรมโฆสิต” ครบ ๖ รอบ ในปลายปีเดียวกัน ได้สร้างเหรียญ “ที่ระลึกในงานทำบุญ อายุครบ ๗๒ ปี ๒๕๑๖ ขึ้นอีกแต่เป็นเหรียญใบเสมา ทั้ง ๒ เหรียญได้รับความนิยมสูงและหายากมากนอกจากเหรียญยอดนิยมดังกล่าวแล้ว หลวงปู่นิลได้จัดทำสีผึ้งเมตตามหานิยมแจกประชาชนที่ท่านเห็นสมควรด้วย ปรากฏประสบการณ์มากมายว่าผู้ที่ได้รับสีผึ้งจากหลวงปู่นิลแล้วนำไปทาริมฝีปากจะส่งผลให้เกิดเมตตามหานิยมสูง เจรจาขอความช่วยเหลือจากผู้ใดมักจะได้รับความสำเร็จเสมอ
    ในปี ๒๕๒๓ คณะกรรมการวัดครบุรีไดสร้างพระกริ่งรูปเหมือนหลวงปู่นิล อันเป็นรุ่นฉลองครบอายุ ๗๘ ปี และเหรียญรูปเหมือนชินตะกั่ว หลังจากอักขระยันต์ ในการสร้างเหรียญรูปเหมือนชินตะกั่วนี้หลวงปู่นิลท่านกดแม่พิมพ์ด้วยมือของท่านเองและจารอักขระบนเหรียญด้านหลังพร้อมกับบริกรรมคาถากำกับลงไปทีละองค์ จนกว่าจะแล้วเสร็จซึ่งการจารอักขระนี้หลวงปู่นิลได้ทำในโบสถ์เพียงองค์เดียว จากนั้นท่านจึงนำพระกริ่งรูปเหมือน รุ่นครบรอบ ๗๘ ปี กับเหรียญชินตะกั่ว เข้าพิธีปลุกเสกเดี่ยวในโบสถ์นานที่สุด ก่อนนำออกแจกจ่ายให้ญาติโยมที่มาร่วมทำบุญกับท่านนำไปบูชา ผู้ที่ได้รับไปต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าดีทางแคล้วคลาด เมตตามหานิยมและอยู่ยงคงกระพัน พระกริ่งรูปเหมือนและเหรียญรูปเหมือนชินตะกั่วรุ่นนี้ ได้แสดงปาฏิหาริย์มาแล้วหลายครั้ง จากปากต่อปากว่า ดีเด่นในทุกด้านชาวบ้านเมื่อทราบถึงกฤตยาคมอิทธิวัตถุมงคลรุ่นนี้ต่างเหมารถมาขอเช่าบูชาจากวัดมิได้ขาด แต่เป็นที่น่าเสียดาย พระกริ่งรุ่นนี้สร้างมาเพียงจำนวนน้อยมาก จึงไม่พอเพียงกับความต้องการของสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาอยากได้ไว้บูชา


    บั้นปลายชีวิตท่านอาพาธด้วยโรคชรา เข้ารักษาที่โรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมา ตั้งแต่วันที่ 8 พ.ย. 2536 และมรณภาพด้วยอาการอันสงบเมื่อวันที่ 15 ส.ค. 2537 เวลา 03.55น. รวมสิริมายุได้ 92 ปี 6 เดือน 72 พรรษา พระราชทานเพลิงศพเมื่อวันเสาร์ที่ 9 ก.พ. 2545
    หลวงปู่นิลนั้นท่านเก่งทางพ่นน้ำหมาก เสกน้ำมนต์ จารใบพลู เขียนผ้ายันต์ ผูกด้ายสายสิญจน์ ลงตะกรุด ลงกระหม่อม หุงสีผึ้งเมตตา ดูฤกษ์ยาม ปรุงยาสมุนไพร ฯลฯ โดยสงเคราะห์ชาวบ้านในละแวกวัดมาตั้งแต่บวชได้ 2 พรรษาแรก
    แม้จะมีดีเพียงใด แต่ท่านดำรงตนอย่างสมถะ ไม่โอ้อวดถือตนว่าเก่งกาจ ใครไปมาหาท่านจะได้รับความเมตตาโดยทั่วกัน
    วัตถุมงคลของท่านแบ่งได้เป็น 5 ยุคคือ
    1.ยุคต้นก่อนพ.ศ.2512 สร้างเฉพาะเครื่องรางของขลัง อาทิ ตะกรุดไม้รวก,สีผึ้ง
    2.ยุคแรก พ.ศ.2513-2520 สร้างพระเครื่องและวัตถุมงคลต่างๆเป็นรุ่นแรก อาทิ รูปถ่ายขาว-ดำ หลังยันต์หมึกซึมพ.ศ.2514 ,เหรียญรูปไข่,เหรียญเสมา,รูปหล่อโบราณ ปี2516 ฯลฯ
    3.ยุคบรรจุกรุ พ.ศ.2523 มีเหรียญรูปไข่,เหรียญซุ้มนาคราช ,พระกริ่ง-ชัยวัฒน์ ฯลฯ
    4.ยุคโบสถ์เก่า พ.ศ.2524-2533 มีเหรียญรูปไข่ทองแดงรมดำ ที่ระลึก 80 ปี,เหรียญหยดน้ำ,เหรียญที่ระลึกฉลองมณฑป,เหรียญสี่เหลี่ยมพัดยศ ฯลฯ
    5.ยุคสร้างโบสถ์ใหม่ พ.ศ.2534-2537 มีเหรียญหยดน้ำข้างลายกนก-เหรียญพระปางลีลา สมทบทุนสร้างโบสถ์ใหม่,เหรียญรูปไข่ยันต์ข้างและเหรียญอาร์มทองแดงลงยา ฯลฯ
    ส่วนพระปิดตามี เนื้อชานหมากรุ่นแรก ปี2523,พระปิดตาเล็บมือยันต์ข้าง,พระปิดตาสี่ทิศ,พระปิดตาจัมโบ้ ฝังตะกรุด,เหรียญพระปิดตานั่งบัว พิมพ์หยดน้ำ เนื้อตะกั่วเถื่อน ฯลฯ
    ด้านพุทธคุณนั้น กล่าวขานกันว่าไม่เป็นสองรองพระเกจิอาจารย์องค์ไหน ไม่ว่าจะด้านเมตตามหานิยม แคล้วคลาด คงกระพัน

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ให้บูชายกชุด ๓ องค์ ให้บูชา 350 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250730_180330.jpg IMG_20250730_180357.jpg
     
  20. SIR2010

    SIR2010 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    3,041
    ค่าพลัง:
    +5,738
    จองครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...