หลวงพ่อสำเร็จศักดิสิทธิ /สุภัททปริพาชก ผู้บรรลุอรหันต์ในคืนแห่งการจากลา

ในห้อง 'ประวัติและนิทานธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 12 สิงหาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,535
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,090
    พระวังคีสเถระ l ผู้รับจ้างดีดกระโหลก "เอตทัคคะฝ่ายผู้มีปฏิภาณ" #คนตื่นธรรม #พระพุทธเจ้า #พระไตรปิฏก

    อาจารย์ธนากร ปุสวงศ์
    Jun 21, 2025

    พระวังคีสะ (Phra Vangisa) เป็นพระเถระที่ได้รับการยกย่องจากพระบรมศาสดาในตำแหน่งเอตทัคคะ คือเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในทางผู้มีปฏิภาณ
    *ภูมิหลังและวิชาชีพเดิม* เดิมที พระวังคีสะเกิดในตระกูลพราหมณ์ที่นครสาวัตถี ท่านได้รับการศึกษาจนจบไตรเพทและมีความชำนาญเป็นที่พอใจของอาจารย์ อาจารย์จึงได้สอนมนต์พิเศษที่ชื่อว่า "ชวสีสมมุน" ให้ ซึ่งเป็นมนต์ที่ใช้พิสูจน์ศีรษะซากศพมนุษย์ที่ตายไปแล้วถึง 30 ปีได้ โดยการใช้นิ้วหรือดีดที่กะโหลกก็สามารถรู้ได้ว่าเจ้าของกะโหลกนั้นตายไปเกิดเป็นอะไรและเกิดที่ไหน พระวังคีสะมีความเชี่ยวชาญในมนต์นี้มาก จึงอาศัยมนต์นี้เป็นเครื่องเลี้ยงชีวิต และเริ่มมีชื่อเสียงเลื่องลือมากขึ้น ต่อมาท่านได้ตั้งคณะมีผู้ร่วมงานทำกันเป็นระบบ มีการโฆษณาชักชวนให้คนมาใช้บริการ และเดินทางไปทั่วตามเมืองต่าง ๆ ผู้คนจะนำกะโหลกของญาติที่ตายไปแล้วมาให้พิสูจน์กันมากมาย ทำให้คณะของวังคีสะได้รับสิ่งตอบแทนมากมาย ทั้งสิ่งของ อาหาร และเงินจำนวนมาก จนมีฐานะร่ำรวยขึ้น
    *การพบพระพุทธเจ้า* ขณะที่คณะของพระวังคีสะเดินทางท่องเที่ยวไปตามเมืองต่าง ๆ แล้วย้อนกลับมายังเมืองสาวัตถี พักอยู่ในที่ไม่ไกลจากประตูพระเชตวันมหาวิหารมากนัก พวกเขาเห็นประชาชนถือดอกไม้และเครื่องสักการะไปยังวัดพระเชตวัน จึงถามว่าไปไหนกัน ประชาชนตอบว่า "จะไปฟังเทศน์ที่วัดพระเชตวัน" คณะของวังคีสะจึงชักชวนว่า "มาหาบังคีสาร จะดีกว่า เพราะท่านสามารถรู้ว่าคนที่ตายไปแล้วไปเกิดเป็นอะไร ไปเกิดที่ไหน" พุทธบริษัทโต้แย้งว่า "ในโลกนี้ไม่มีผู้ใดจะรู้เท่าเทียมพระพุทธเจ้าของพวกเราได้หรอก" การโต้ตอบนี้กลายเป็นการโต้เถียงที่รุนแรงขึ้นและไม่เป็นที่ยุติ กลุ่มของวังคีสะจึงตามไปที่พระเชตวันมหาวิหารเพื่อพิสูจน์ความสามารถว่าใครจะเหนือกว่ากัน
    *การทดสอบและข้อจำกัดของมนต์*
    พระพุทธเจ้าทรงทราบวัตถุประสงค์ของกลุ่มวังคีสะเป็นอย่างดี จึงรับสั่งให้นำกะโหลกคนตายมา 5 กะโหลก ได้แก่:
    1. กะโหลกของคนตายที่ไปเกิดในนรก
    2. กะโหลกของคนตายที่ไปเกิดในสวรรค์
    3. กะโหลกของคนตายที่ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน
    4. กะโหลกของคนตายที่ไปเกิดเป็นมนุษย์
    5. กะโหลกของพระอรหันต์
    เมื่อได้กะโหลกศีรษะครบแล้ว ได้มอบให้วังคีสะตรวจสอบว่าเจ้าของกะโหลกเหล่านั้นไปเกิดที่ไหน วังคีสะตรวจสอบกะโหลกเหล่านั้นไปตามลำดับ และสามารถทราบสถานที่ไปเกิดได้อย่างถูกต้องทั้ง 4 กะโหลกแรก แต่พอมาถึงกะโหลกสุดท้ายซึ่งเป็นกะโหลกของพระอรหันต์ ท่านไม่สามารถทราบได้ ไม่มีเสียงตอบจากเจ้าของกะโหลกว่าไปเกิดที่ไหน วังคีสะจึงนิ่งอยู่คู่หนึ่ง พระพุทธเจ้าจึงตรัสถามว่า "วังคีสะรู้หรือไม่" วังคีสะตอบว่า "ข้าพระพุทธเจ้าไม่รู้ พระเจ้าข้า" พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ตถาคตรู้" และเมื่อวังคีสะถามว่าทรงทราบด้วยมนต์อะไร พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ด้วยกำลังมนต์ของตถาคตเอง"
    *การอุปสมบทและการบรรลุอรหัตผล*
    จากนั้น วังคีสะได้กราบทูลขอเรียนมนต์นั้นจากพระบรมศาสดา ซึ่งพระพุทธองค์ก็ทรงรับจะสอนให้ แต่มีข้อแม้ว่า "ผู้เรียนจะต้องบวช จึงจะสอนให้" วังคีสะคิดว่าถ้าเรียนมนต์นี้จบก็จะไม่ใครเทียมได้ จะเป็นประโยชน์แก่อาชีพของตนเป็นอย่างยิ่ง จึงบอกให้พราหมณ์ร่วมคณะเหล่านั้นรออยู่สัก 2-3 วัน เมื่อบวชเรียนมนต์จบแล้วก็จะสึกออกไปร่วมคณะกันต่อไป เมื่อวังคีสะบวชแล้ว พระบรมศาสดาประทานกรรมฐานมีอาการ 32 เป็นอารมณ์ รับสั่งให้สาธยายท่องบริกรรมพร้อมทั้งพิจารณาไปด้วย ฝ่ายพราหมณ์ที่คอยอยู่ก็มาถามเป็นระยะ ๆ ว่าเรียนมนต์จบหรือยัง วังคีสะก็ตอบว่ากำลังเรียนอยู่ ไม่นานนัก ท่านก็ได้บรรลุพระอรหัตผล เป็นพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา พวกพราหมณ์เหล่านั้นเห็นว่าท่านไม่หวนกลับมาสึกออกไปประกอบอาชีพฆราวาสเช่นเดิมอีกแล้ว จึงได้แยกย้ายกันไปตามอัธยาศัยของตน
    *บทบาทหลังการบรรลุธรรมและปรินิพพาน*
    พระวังคีสะเมื่อสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว ได้เป็นกำลังช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนา และเมื่อเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคครั้งใดก็จะกล่าวสรรเสริญพระพุทธคุณบทหนึ่งอยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้ พระบรมศาสดาจึงทรงยกย่องท่านในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในทางผู้มีปฏิภาณ คือมีความสามารถในการผูกบทกวีคาถา ท่านดำรงอายุสังขารสมควรแก่กาลเวลาแล้วก็ดับขันธปรินิพพาน
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,535
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,090
    สุปปพุทธกุฏฐิ l "คนจนผู้ยิ่งใหญ่" คนโรคเรื้อนบรรลุโสดาบัน #พระพุทธเจ้า #พระไตรปิฏก #คนตื่นธรรม

    อาจารย์ธนากร ปุสวงศ์
    Jun 6, 2025

    สุปพุทธกุฏฐิ เป็นบุคคลที่มีชื่อว่า สุปพุทธะ
    *เขาเป็นชายยากจนขัดสน ผู้ยิ่งใหญ่* เขาเป็นคนกำพร้า ขัดสน ยากไร้ ในกรุงราชคฤห์ *เขาเป็นโรคเรื้อน อย่างหนัก* ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ถูกเรียกว่า สุปพุทธกุฏฐิ *เขาเป็นผู้ที่ยากจนเข็ญใจกว่าใครๆ ในกรุงราชคฤห์* ชีวิตความเป็นอยู่ของเขายากลำบากมาก เขาใช้ผ้าเก่าที่ผู้คนทิ้งไว้ที่กองขยะมานุ่งห่ม และถือกระเบื้อง (ชาม) เที่ยวไปตามบ้านเรือนเพื่อขออาหาร แต่ไม่เคยได้ของหรือได้กินตามที่ชอบใจต้องการเลย สภาพชีวิตที่ยากลำบากและโรคเรื้อนของสุปพุทธกุฏฐิ เกิดจาก *อกุศลกรรมในปางก่อนเบียดเบียน* มีสองเหตุการณ์สำคัญที่กล่าวถึง:
    1. *เหตุการณ์ฆาตกรรม:* ในอดีตชาติ สุปพุทธะเคยเกิดเป็นบุตรเศรษฐีในกรุงราชคฤห์ เขาและเพื่อนสนิทอีก 3 คน ซึ่งเป็นบุตรเศรษฐีเช่นกัน ได้พาหญิงโสเภณีผู้มีเครื่องประดับมากไปร่วมอภิรมย์ด้วยตลอดวัน เมื่อถึงเวลาค่ำ *พวกเขาได้ร่วมกันฆ่าหญิงนั้นเพื่อชิงเอาทองคำมูลค่า 1,000 กหาปนะ* และเครื่องประดับอื่นๆ ไป ก่อนตาย หญิงนั้นได้ตั้งความปรารถนาด้วยความอาฆาตว่า คนเหล่านี้ไร้ยางอาย ไร้ความกรุณา ทำสันทวะด้วยอำนาจกิเลสแล้วยังฆ่าตนผู้ไม่มีความผิดเพราะความโลภในทรัพย์ พวกเขาฆ่าตนได้เพียงครั้งเดียว แต่ตนจะขอเกิดเป็นนางยักษ์เพื่อจะได้ฆ่าพวกเขาทั้งสี่คนได้หลายครั้ง หญิงนั้นเมื่อตายไปได้ไปเกิดเป็นนางยักษินีในสมัยพุทธกาล ในพุทธกาลนั้น บุคคลทั้งสี่ที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์นี้ ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ ได้แก่ ปุคุสาติกุลบุตร (บรรลุอนาคามิผล), สุปพุทธกุฏฐิ (บรรลุโสดาปัตติผล), พาหิยะ ทารุจิริยะ (บรรลุพระอรหันต์), และนายเพชรฆาตข่าวแดง บุคคลทั้งสี่ท่านนี้ *ถูกนางยักษินีซึ่งแปลงร่างเป็นแม่ครูกิด (แม่โคป่า) ฆ่าตายทั้งหมด*
    2. *เหตุการณ์ดูหมิ่นพระปัจเจกพุทธเจ้า:* ในอดีตชาติอีกครั้ง สุปพุทธะเคยเกิดเป็นบุตรเศรษฐีในกรุงราชคฤห์ ขณะเที่ยวเล่นในสวน เขาได้พบเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ตักสิกขี ผู้กำลังบิณฑบาตในเมือง เขาคิดดูหมิ่นว่า "คนโรคเรื้อนเที่ยวไปขอเขากิน" เขาได้ *กล่าวหาว่าท่านเป็นโรคเรื้อน ถ่มน้ำลาย แล้วหลีกหนีไปทางด้านซ้าย* ซึ่งเป็นการแสดงความดูหมิ่นไม่ให้ความเคารพ การให้ความเคารพที่ถูกต้องคือการหลีกไปทางขวา ด้วยบาปกรรมนั้น *ทำให้เขาต้องตกนรกหมกไหม้อยู่สิ้นแสนปี*
    *ผลกรรมที่ยังคงเหลืออยู่ (เศษอกุศล)* เมื่อเขาได้เกิดเป็นมนุษย์แล้ว จึงทำให้เขาขัดสน กำพร้า ยากไร้ และต้องเป็นโรคเรื้อน วันหนึ่ง สุปพุทธะเดินผ่านมาทางวิหารเวฬุวัน เห็นมหาชนจำนวนมากมาประชุมกันอยู่ เขาเกิดความหิว จึงคิดว่าถ้าเข้าไปในวัด อาจจะได้ของกินบ้าง เมื่อเข้าไปภายในวิหารแล้ว เขาก็พบว่าไม่มีของกิน มีแต่ผู้คนมานั่งฟังธรรม แต่ถึงกระนั้น เขาก็ตัดสินใจว่าจะลองฟังธรรมดูบ้าง พระพุทธเจ้าผู้ทรงรู้แจ้งในใจของพุทธบริษัท ทรงพิจารณาว่าจะมีใครบ้างที่ควรจะรู้แจ้งธรรมได้ *พระองค์ทรงทราบว่า สุปพุทธกุฏฐิมีความสามารถที่จะรู้แจ้งธรรมได้* จึงได้ตรัส *อนุบุพพิกถา* ซึ่งเป็นการแสดงธรรมไปตามลำดับ คือ เรื่องทาน ศีล สวรรค์ โทษของกามอันต่ำทรามเศร้าหมอง และอานิสงส์ของการออกจากกาม (เนกขัมมะ) เมื่อทรงทราบว่าจิตของสุปพุทธกุฏฐิมีความพร้อมสำหรับธรรมที่สูงขึ้นแล้ว *พระองค์ก็ทรงแสดงอริยสัจ 4* ผลจากการได้ฟังพระธรรมเทศนา *สุปพุทธกุฏฐิก็ได้เกิดธรรมจักสุขึ้นในใจ และได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน* *เขาเป็นผู้มีธรรมที่ได้บรรลุแล้ว มีธรรมที่ได้รู้แจ้งแล้ว มีธรรมที่ได้หยั่งถึงแล้ว* เขาข้ามพ้นความสงสัยได้แล้ว ปราศจากความเคลือบแคลง ถึงความเป็นผู้แกล้วกล้า และ *ไม่เชื่อต่อผู้อื่นในศาสนาของพระศาสดา (พระพุทธเจ้า) อีกต่อไป* พระพุทธเจ้าได้ตรัสยืนยันว่า สุปพุทธกุฏฐิเป็นพระโสดาบัน เพราะได้สิ้นไปแห่งสังโยชน์เบื้องต่ำ 3 ประการ *เขาเป็นผู้มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา และเป็นผู้เที่ยงที่จะได้ตรัสรู้ (บรรลุธรรมที่สูงขึ้น) ในภายหน้า* หลังจากบรรลุธรรมแล้ว สุปพุทธกุฏฐิได้ลุกจากที่นั่ง เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าถึงที่ประทับ ได้ถวายบังคมและกราบทูลชมเชยพระธรรมเทศนา พร้อมทั้ง *ประกาศตนเป็นอุบาสกผู้นับถือพระรัตนตรัยตลอดชีวิต* พระพุทธเจ้าได้ทรงชี้แจงให้เขาเห็นแจ้ง ให้สมาทาน อาจหาญ ร่าเริงด้วยธรรม จากนั้น เขาจึงลุกจากที่นั่ง ถวายบังคมพระพุทธเจ้า และกระทำประทักษิณ (เดินเวียนขวา 3 รอบ) แล้วเดินกลับออกจากวิหาร หลังจากออกจากวิหารไปไม่นานนัก *สุปพุทธกุฏฐิก็ถูกแม่โคแม่ลูกอ่อนขวิดจนถึงแก่ความตาย* เหตุการณ์นี้สอดคล้องกับคำอธิษฐานของนางยักษินีในอดีตชาติที่ต้องการฆ่าเขาทั้งสี่คน เมื่อภิกษุทั้งหลายเข้าเฝ้าและกราบทูลเรื่องการตายของสุปพุทธกุฏฐิ และทูลถามถึงภพชาติของเขาหลังจากตายแล้ว พระพุทธเจ้าได้ตรัสตอบว่า *สุปพุทธกุฏฐิเป็นบัณฑิตผู้มีปัญญา ปฏิบัติธรรมตามสมควรแก่ธรรม* และไม่ทำให้พระองค์ต้องลำบากในการแสดงธรรมแก่เขา พระองค์ตรัสย้ำอีกครั้งว่า สุปพุทธกุฏฐิได้เป็นพระโสดาบันแล้ว *เมื่อตายแล้ว เขาจึงไปสู่สุคติโลกสวรรค์ เข้าถึงความเป็นเทวดาในชั้นดาวดึงส์*
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,535
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,090
    พระอุปวาณเถระ l หนึ่งในพุทธอุปัฏฐากพระพุทธเจ้า #พระยสะ #พระพุทธเจ้า #พระไตรปิฏก

    อาจารย์ธนากร ปุสวงศ์
    Jun 22, 2025

    พระอุปวาเถระ เป็นพระภิกษุรูปหนึ่งในสมัยพุทธกาล ผู้มีบทบาทสำคัญในฐานะอดีตพุทธอุปัฏฐากของพระพุทธเจ้า ท่านเป็นผู้บรรลุอรหัตผลและมีอภิญญา 6
    *ภูมิหลังและบุพกรรม*
    ในอดีตกาลหลายแสนกัปที่ผ่านมา ในสมัยพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ พระอุปวาเถระในชาตินั้นเกิดในตระกูลคนรับจ้างในนครหังสาวดี ด้วยผลของอกุศลกรรมบางอย่าง เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพาน มหาชนได้สร้างพระมหาเจดีย์สูง 7 โยชน์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เทวดาได้แต่งตั้งเสนาบดีชื่ออภิสัมมัตกะเป็นผู้รักษาเครื่องบูชา ท่านเห็นมหาชนเลื่อมใสในการบูชาพระเจดีย์ จึงปรารถนาจะเป็นทายาทในธรรมของพระองค์ในอนาคต ท่านจึงนำผ้าห่มที่ซักสะอาดแล้วผูกกับไม้ไผ่ทำเป็นธงถวายเป็นพุทธบูชา ยักษ์อภิสัมมัตกะได้นำธงนั้นลอยขึ้นไปในอากาศกระทำประทักษิณพระเจดีย์ 3 รอบ เมื่อเห็นดังนั้น ท่านมีจิตเลื่อมใสยิ่งนัก ได้เข้าหาภิกษุรูปหนึ่งถามถึงผลของการถวายธง พระเถระได้พยากรณ์ว่า ท่านจะได้ท่องเที่ยวอยู่ในเทวโลกตลอด 30,000 กัป ได้เป็นจอมเทวดาเสวยเทวราชสมบัติ 80 ครั้ง และเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ 1,000 ครั้ง รวมถึงเป็นพระเจ้าประเทศอันไพบูลย์โดยนับมิได้ เมื่อพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลกและปรินิพพาน พระธาตุสรีระของพระองค์มีอยู่แห่งเดียว และผู้คนได้สร้างพระเจดีย์สูง 1 โยชน์ ท่านก็ได้จุติมาเป็นอารักขเทวดาในพระเจดีย์นั้น ตามคำอธิษฐานที่ตั้งไว้ การที่ท่านเคยเป็นอารักขเทวดาในพระเจดีย์ของพระพุทธเจ้ากัสสปะมาก่อน เป็นเหตุให้ท่านมีอานุภาพและอำนาจมากในภายหลัง *การเป็นพุทธอุปัฏฐาก*
    พระอุปวาเถระเคยเป็นพุทธอุปัฏฐากอยู่ระยะหนึ่งในช่วงต้นพุทธกาล ในสมัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้ายังไม่มีพระพุทธอุปัฏฐากประจำ ในบางครั้งพระนาคสมาระ พระนาคิตะ พระสุนักขัตตะ พระจุนทะสามเณร และพระเมคิยะก็เคยเป็นผู้อุปัฏฐากเช่นกัน พระอุปวาเถระได้อุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้าในทุกอย่าง เช่น กวาดบริเวณ ถวายไม้ชำระพระทนต์ จัดถวายน้ำสงฆ์ ถือบาตรจีวรตามเสด็จ มีครั้งหนึ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันวิหาร ทรงประชวรด้วยลมในท้อง อาการนี้มีมาตั้งแต่ครั้งที่ทรงกระทำทุกรกิริยา 6 พรรษา โดยการเสวยถั่วเขียวและถั่วพูเพียงเล็กน้อย ทำให้ลมในพระอุทรกำเริบ แม้ภายหลังบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณและเสวยโภชนะอันประณีตแล้ว อาพาธนั้นก็ยังปรากฏเป็นระยะๆ ครั้งนั้น พระอุปวาเถระได้เป็นอุปัฏฐากอยู่ ท่านได้ตื่นแต่เช้าตรู่ และเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกให้ต้มน้ำร้อนเพื่อฉัน ท่านก็รับบัญชา ในสมัยนั้น พระพุทธเจ้ายังมิได้ทรงอนุญาตการต้มน้ำแก่ภิกษุทั้งหลาย ท่านจึงเข้าไปยังที่อยู่ของเทวหิตพราหมณ์ ซึ่งเป็นสหายเก่าแก่สมัยเป็นคฤหัสถ์ พราหมณ์ผู้นี้เลี้ยงชีพด้วยการตั้งโรงอาบน้ำร้อน เมื่อพราหมณ์ทราบว่าพระโคดมไม่สบายด้วยโรคลมในท้อง ก็แนะนำยาให้ละลายน้ำอ้อยด้วยน้ำร้อนเล็กน้อยถวายให้ดื่มในเวลาสนธยา เขาบอกว่าพระเสโทจะซึมออกมาภายนอกพระสรีระ และลมในท้องจะหายไปด้วยยา เทวหิตพราหมณ์ได้ให้คนใช้ถือกาต้มน้ำร้อนและห่อน้ำอ้อยตามไปถวายพระอุปวาเถระ ท่านจึงนำไปถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า และเมื่อทรงเสวยน้ำอ้อยนั้น พระองค์ก็ทรงหายประชวร
    *เหตุการณ์ปรินิพพาน*
    แม้หลังจากที่พระพุทธองค์ทรงโปรดให้พระอานนท์เป็นพุทธอุปัฏฐากประจำแล้ว ในวาระสุดท้ายเมื่อพระพุทธเจ้าจะเสด็จปรินิพพานที่สารวโนทยาน เมืองกุสินารา พระอุปวานะก็ได้ยืนทำหน้าที่ถวายงานอยู่เบื้องพระพักตร์พระพุทธองค์ เทวดาในหมื่นโลกธาตุที่มาประชุมกันเพื่อเข้าเฝ้าและถวายบังคมพระพุทธองค์เป็นครั้งสุดท้ายไม่สามารถเข้าเฝ้าได้ เพราะเห็นท่านอุปวานะยืนขวางอยู่ พระเถระมีรูปร่างใหญ่เหมือนลูกช้าง และเมื่อห่มผ้าบังสุกุลจีวรก็ยิ่งทำให้ดูตัวใหญ่มาก เทวดาไม่สามารถมองทะลุพระอรหันต์ (พระขีณาสก) ได้ และไม่สามารถเข้าไปใกล้ได้ เพราะพระเถระมีอานุภาพมาก เทวดาเหล่านั้นจึงติเตียนพระเถระ พระพุทธองค์ทรงทราบเหตุที่เทวดาติเตียนพระเถระ จึงได้รับสั่งให้ท่านพระอุปวาหลีกไป ด้วยพระดำรัสคำเดียวเท่านั้น พระเถระก็วางพัดใบตาลแล้วยืนอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง พระอานนท์เห็นดังนั้นก็บังเกิดความสงสัยว่าเหตุใดพระพุทธองค์จึงทรงขับไล่ท่านอุปวาผู้อุปัฏฐากใกล้ชิดมานานในวาระสุดท้ายเช่นนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสตอบว่า เทวดาในหมื่นโลกธาตุมาประชุมกันเพื่อจะเห็นพระตถาคตในเมืองกุสินารา สารวันของพวกเจ้ามัลละนั้นมีพื้นที่กว้างใหญ่ถึง 12 โยชน์รอบด้าน ตลอดทุกแห่งหนไม่มีที่ว่างแม้เพียงปลายขนทรายจะจรดลง พวกเทวดาเหล่านั้นกล่าวโทษอยู่ว่าพวกเขามาแต่ที่ไกลเพื่อจะเห็นพระตถาคต แต่ภิกษุผู้มีศักดิ์ใหญ่รูปนี้ยืนบังอยู่เบื้องพระพักตร์ทำให้พวกเขาไม่ได้เห็นพระตถาคตในกาลเป็นครั้งสุดท้าย ด้วยเหตุนี้เอง พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงขับพระเถระเพื่อมิให้ขัดขวางการเข้าชมพระบารมีของเหล่าเทวดาทั้งหลาย
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,535
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,090
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,535
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,090
    โสณฑัณฑพราหมณ์ l ผู้สร้างธรรมเนียมเคารพใหม่ #พระพุทธเจ้า #พระไตรปิฏก #คนตื่นธรรม

    อาจารย์ธนากร ปุสวงศ์
    Jun 7, 2025

    *โสณทัณฑพราหมณ์* ผู้สร้างธรรมเนียมความเคารพใหม่ ท่านครอบครองนครเล็กๆ ชื่อ *จำปา* ซึ่งเป็นนครที่พระเจ้าพิมพิสารพระราชทานให้เป็นบำเหน็จ ท่านสามารถจัดเก็บภาษีจากผู้คนในนครได้ ทำให้ท่านมีฐานะมั่นคง เนื่องจากนครจำปาอุดมไปด้วยผู้คน หมู่สัตว์ หญ้า ไม้ น้ำ และธัญญาหาร โสณทัณฑพราหมณ์ได้รับการพรรณนาว่ามีคุณสมบัติหลายประการ เช่น:
    • เป็นอุโตสุชาติ ถือกำเนิดดีในวรรณะพราหมณ์ บริสุทธิ์ทั้งฝ่ายมารดาและบิดา
    • มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก
    • จบไตรเพท
    • มีรูปงดงาม น่าเลื่อมใส
    • ยังสอนมนต์แก่มนพถึง 300 คน
    เมื่อท่านได้ข่าวว่าพระสมณโคดม (พระพุทธเจ้า) กำลังเสด็จมายังนครจำปาและประทับอยู่ใกล้สระโบกขรณีคักคาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ประมาณ 500 รูป และเห็นชาวนครจำปาพากันเดินทางออกไปเข้าเฝ้าพระองค์ ท่านจึงสั่งให้คนสนิทไปบอกให้ผู้คนเหล่านั้นรอ เพราะท่านเองก็จะไปด้วย อย่างไรก็ตาม พวกพราหมณ์ที่มากับท่านประมาณ 500 คน ได้พากันเข้ามาห้ามท่านไม่ให้ไปเข้าเฝ้า โดยกล่าวว่าพระสมณโคดมควรจะมาหาท่านมากกว่า เนื่องจากท่านมีคุณสมบัติที่ดีพร้อมตามที่ได้กล่าวมา แต่โสณทัณฑพราหมณ์ฟังแล้วไม่ชอบใจ ท่านคิดที่จะหักล้างความคิดของพวกเขาและยืนยันว่าตนเองต่างหากที่จะต้องไปเข้าเฝ้าพระสมณโคดม ท่านได้กล่าวสรรเสริญพระพุทธเจ้าเป็นอันมาก เช่น ทรงเป็นอุปโทสุชาติ (มีความบริสุทธิ์ดีทั้งสองฝ่าย), ทรงสละหมู่พระญาติ สละเงินทอง และราชสมบัติทั้งหมด, มีพระรูปงาม มีผิวพรรณดังพรหม มีศีล และทรงสิ้นราคะแล้ว แม้แต่พระเจ้าพิมพิสารและพระเจ้าปเสนทิโกศลก็ยังทรงถึงพระองค์เป็นสรณะ ระหว่างทางที่จะไปเข้าเฝ้า โสณทัณฑพราหมณ์เกิดความวิตกกังวลว่า หากท่านถามปัญหาแล้วพระองค์ตรัสว่าไม่ดี ไม่ควรถาม หรือหากพระองค์ถามแล้วท่านตอบไม่ได้ ผู้คนก็จะหาว่าท่านโง่ ซึ่งจะทำให้ยศและทรัพย์ของท่านเสื่อม พระพุทธเจ้าทรงทราบความกังวลเหล่านี้ของพราหมณ์ เมื่อเข้าเฝ้าแล้ว พระองค์ทรงเลือกถามปัญหาที่โสณทัณฑพราหมณ์เชี่ยวชาญ คือ ปัญหาในไตรเพท โดยตรัสถามว่า ผู้ประกอบด้วยคุณสมบัติกี่อย่างจึงจะบัญญัติว่าเป็นพราหมณ์ หรือควรเรียกตนเองว่าเป็นพราหมณ์ได้ โสณทัณฑพราหมณ์ตอบว่าต้องมี 5 อย่าง ได้แก่
    1) มีชาติที่ดี
    2) จำมนต์ในพระเวทได้
    3) มีผิวพรรณดี
    4) เป็นผู้มีศีล
    5) เป็นผู้มีปัญญา
    พระพุทธเจ้าทรงถามต่อว่า หากจะตัดเหลือ 4 ข้อ จะตัดข้อใด ท่านตอบว่าตัดข้อผิวพรรณดีออกได้ หากเหลือ 3 ข้อ จะตัดข้อใด ท่านตอบว่าตัดข้อจำมนต์ออกได้ หากเหลือ 2 ข้อ จะตัดข้อใด ท่านตอบว่าตัดข้อกำเนิด (ชาติ) ออกได้ เมื่อมาถึงตรงนี้ พวกพราหมณ์ที่มาด้วยได้คัดค้านท่านว่าอย่าพูดเช่นนั้น ท่านจะเสียทีพระสมณโคดมได้ โสณทัณฑพราหมณ์จึงตอบโต้โดยยกตัวอย่างหลานชายของท่านชื่อ *อังคกานพ* ที่มานั่งอยู่ด้วย อังคกานพมีผิวพรรณดี จำมนต์ได้ และเกิดในตระกูลบริสุทธิ์ทั้งสองฝ่าย แต่ก็ยังฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ และดื่มน้ำเมา ดังนั้น มนต์และชาติกำเนิดจึงไม่สำคัญเท่า ท่านยืนยันว่า *เมื่อใดที่พราหมณ์เป็นผู้มีศีลและปัญญา 2 คุณสมบัตินี้ จึงควรบัญญัติว่าเป็นพราหมณ์* และควรเรียกตนเองว่าเป็นพราหมณ์ได้ พระพุทธเจ้าตรัสถามอีกว่า หากตัดเหลือเพียงข้อเดียวจะได้ไหม ท่านตอบว่าตัดอีกไม่ได้แล้ว เพราะศีลชำระปัญญา ปัญญาชำระศีล ในที่ใดมีศีล ในที่นั้นมีปัญญา ในที่ใดมีปัญญา ในที่นั้นมีศีล ศีลกับปัญญาเปรียบเหมือนใช้มือล้างมือ ใช้เท้าล้างเท้า คือชำระซึ่งกันและกัน *ศีลกับปัญญาจึงกล่าวได้ว่าเป็นยอดในโลก* พระพุทธเจ้าทรงรับรองธรรมของพราหมณ์ว่าถูกต้อง จากนั้นได้ตรัสอธิบายกระบวนธรรมที่ทำให้ตรัสรู้ คือ จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ฌาน 4 และวิชา 8 หลังจบพระธรรมเทศนา โสณทัณฑพราหมณ์ได้กราบทูลสรรเสริญและแสดงตนเป็น *อุบาสก ถึงสรณะตลอดชีวิต* พร้อมทั้งอาราธนาพระพุทธเจ้าและภิกษุสงฆ์ไปฉันภัตตาหารในวันรุ่งขึ้น ในรุ่งเช้า หลังถวายภัตตาหารแล้ว โสณทัณฑพราหมณ์เกิดความกลัวว่า ชื่อเสียงและทรัพย์ของตนจะเสื่อม หากผู้คนรู้ว่าตนนับถือพระพุทธเจ้าซึ่งยังหนุ่มกว่า ท่านจึงกราบทูลขอให้พระพุทธเจ้าทรงเข้าใจว่า ตนเองนับถือพระองค์มานานแต่ไม่สามารถแสดงออกได้ ขอให้พระองค์เข้าใจว่าการกระทำบางอย่างของท่านนั้นเท่ากับการแสดงความเคารพ เช่น:
    • หากอยู่ในท่ามกลางผู้คนแล้วประคองอัญชลีขึ้น ก็เท่ากับลุกขึ้นจากอาสนะถวายบังคมแล้ว
    • หากถอดเครื่องโพกศีรษะออก ก็เท่ากับอภิวาทด้วยศีรษะแล้ว
    • หากกำลังนั่งอยู่ในยานแล้วยกประตักขึ้น (หรือถอนบังเหียน) แสดงว่าลงจากยานทำความเคารพแล้ว
    • หากรถล้มลง แสดงว่าอภิวาทด้วยศีรษะแล้ว (อันนี้น่าจะเป็นการเปรียบเทียบที่แสดงถึงความเคารพอย่างสุดซึ้ง แม้เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็ตีความว่าเป็นการก้มเคารพ)
    พระพุทธเจ้าทรงอนุโมทนาทานด้วยธรรมแล้วเสด็จกลับ แหล่งข้อมูลระบุว่า ด้วยความประพฤติเช่นนี้ของพราหมณ์ แม้จะได้พบพระพุทธเจ้า ได้ฟังธรรม *ก็ไม่อาจได้สัมผัสคุณประโยชน์ที่ควรจะได้รับเต็มที่เลย* แต่ก็จะเป็นวาสนาในกาลต่อไป ท้ายที่สุดแหล่งข้อมูลได้กล่าวถึงคาถาว่า "คบหากับคนประเสริฐ ก็จะพลอยประเสริฐไปด้วย" (ไซยยโส ไสยยโส โหติโย ไสยมุปเสวติ)
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,535
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,090
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,535
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,090
    มหาธรรมปาลชาดก l "เหตุที่ไม่ตายในวัยหนุ่ม" #ศีลห้าคุ้มครอง #พระพุทธเจ้าสอน #เรื่องเล่าขนลุก #กรรมดี

    อาจารย์ธนากร ปุสวงศ์
    Jun 27, 2025

    *มหาธรรมปาลชาดก* ซึ่งเป็นเรื่องราวที่พระศาสดาทรงตรัสเล่าแก่พระพุทธบิดา เพื่อแสดงให้เห็นถึง *อานิสงส์ของการประพฤติธรรม* ในสมัยที่พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็น ธรรมปาลกุมาร บิดาของท่านแสดงความไม่เชื่อต่อข่าวการตายของบุตรชาย โดยอ้างว่า *ธรรมเนียมของตระกูลไม่มีผู้ใดตายในวัยหนุ่ม* อาจารย์ของธรรมปาลกุมารจึงเดินทางไปพิสูจน์และได้เรียนรู้ว่า *การรักษาศีล 5, การให้ทาน, การประพฤติพรหมจรรย์นอกกาย และการละเว้นความชั่ว* เป็นเหตุผลที่ทำให้คนหนุ่มสาวในตระกูลนั้นไม่ตาย พระศาสดาทรงสรุปว่าการประพฤติธรรมนั้นย่อมคุ้มครองรักษาผู้ปฏิบัติ และในที่สุด พระพุทธบิดาก็ได้บรรลุธรรมหลังฟังเรื่องราวนี้ ในชาดกนี้ *แนวคิดที่ว่าคนในตระกูลธรรมบาลจะไม่ตายในวัยหนุ่ม แต่จะตายเมื่อแก่แล้วเท่านั้น* ถือเป็นประเพณีของตระกูลนี้ อาจารย์ทิสาปาโมกข์ถึงกับนำกระดูกแพะมาแสดงว่าเป็นกระดูกของธรรมปาลกุมาร เพื่อลองใจบิดาของธรรมปาลกุมาร แต่บิดากลับหัวเราะและยืนยันว่าบุตรของตนยังไม่ตาย เพราะในตระกูลของพวกตนตลอด 7 ชั่วโคตร ไม่เคยมีใครตายตั้งแต่ยังหนุ่มเลย เหตุผลที่คนหนุ่มสาวในตระกูลธรรมบาลไม่ตายนั้น มาจาก
    *การประพฤติธรรมและคุณธรรมที่สืบทอดกันมา* ดังนี้:
    • *การประพฤติธรรมและงดเว้นความชั่ว* พวกเขาประพฤติธรรม ไม่กล่าวคำเท็จ งดเว้นกรรมชั่ว และงดเว้นกรรมอันไม่ประเสริฐทั้งหมด
    • *เลือกคบสัตบุรุษ* พวกเขาฟังธรรมของทั้งอสัตบุรุษ (คนไม่ดี) และสัตบุรุษ (คนดี) แต่ไม่ชอบใจธรรมของอสัตบุรุษเลย จึงละทิ้งอสัตบุรุษและไม่ละทิ้งสัตบุรุษ
    • *ความตั้งใจในการให้ทาน* ก่อนที่จะให้ทาน พวกเขาเป็นผู้มีใจตั้งใจดี แม้กำลังให้ก็มีใจผ่องแผ้ว และเมื่อให้แล้วก็ไม่เดือดร้อนในภายหลัง
    • *การสงเคราะห์ผู้อื่น* พวกเขาเลี้ยงดูสมณพราหมณ์ คนเดินทาง ผู้นิพพก ยาจก (ผู้ขอ) และคนยากไร้ทั้งหลายให้อิ่มหนำสำราญด้วยข้าวและน้ำ
    • *การไม่นอกใจคู่ครองและการประพฤติพรหมจรรย์* พวกเขาไม่นอกใจภรรยา และภรรยาก็ไม่นอกใจพวกเขา พวกเขาประพฤติพรหมจรรย์นอกภรรยาของตน (หมายถึงการประพฤติพรหมจรรย์ในความสัมพันธ์กับคู่ครองของตนเอง ไม่ประพฤติผิดในกาม)
    • *การรักษาสีล 5* พวกเขางดเว้นจากการฆ่าสัตว์ งดเว้นจากสิ่งของที่เขาไม่ให้ (ไม่ลักขโมย) ไม่ดื่มของมึนเมา และไม่กล่าวคำเท็จ (กล่าวคำจริง)
    • *บุตรธิดาผู้มีปัญญาและคุณธรรม* บุตรที่เกิดจากภรรยาผู้มีศีลดีเหล่านั้น เป็นคนฉลาด มีปัญญา เป็นพหูสูตร (มีความรู้มาก) และเรียนจบไตรเพท (ความรู้ 3 อย่าง)
    • *ทุกคนในครอบครัวประพฤติธรรม* ทั้งมารดา บิดา พี่น้อง บุตร ภรรยา และทุกคนในตระกูลล้วนประพฤติธรรม มุ่งประโยชน์ในโลกหน้า
    • *คนรับใช้ก็ประพฤติธรรม* แม้กระทั่งทาสี คนที่อาศัยเลี้ยงชีวิต คนรับใช้ และคนงานทั้งหมด ล้วนแต่ประพฤติธรรม มุ่งประโยชน์ในโลกหน้า
    ในที่สุด พราหมณ์ (บิดาของธรรมปาลกุมาร) ได้แสดงถึงคุณของผู้ประพฤติธรรมด้วยคาถาที่สำคัญว่า "**ธรรมแลย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ธรรมที่บุคคลประพฤติดีแล้วย่อมนำความสุขมาให้** นี่เป็นอานิสงส์ในธรรมที่ประพฤติดีแล้ว ผู้ประพฤติธรรมย่อมไม่ไปทุคติ *ธรรมแลย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม เหมือนร่มไม้ในฤดูฝน* ฉะนั้น ธรรมปาลของเราอันธรรมคุ้มครองแล้ว กระดูกที่ท่านนำเอามานี้เป็นกระดูกสัตว์อื่น บุตรของเรายังมีความสุข"

     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,535
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,090
    นางสารีพราหมณี l มารดาพระสารีบุตร "วันปรินิพพานพระสารีบุตร" #พระพุทธเจ้า #พระไตรปิฏก #คนตื่นธรรม

    อาจารย์ธนากร ปุสวงศ์
    May 23, 2025

    *นางสารี พราหมณี* มารดาของพระสารีบุตร ผู้มีบุตรถึงเจ็ดคนซึ่งต่อมาได้ออกบวชทั้งหมดพร้อมทั้งหลาน โดยได้กล่าวถึง *ลำดับการออกบวชของบุตรแต่ละคน* และเหตุการณ์ที่ *พระสารีบุตรกลับไปเยี่ยมมารดา* และแสดงธรรมจนนางบรรลุโสดาปัตติผล นอกจากนี้ ยังกล่าวถึง *การปรินิพพานของพระสารีบุตร* ณ บ้านเกิดของท่าน และการสร้างเจดีย์บรรจุพระธาตุตามคำสั่งของพระพุทธเจ้า.
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,535
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,090
    ผันทชาดก - การผูกเวรของหมีและไม้ตะคร้อ #ฟังธรรมก่อนนอน #พระพุทธเจ้า #พระไตรปิฏก

    อาจารย์ธนากร ปุสวงศ์
    Jun 4, 2025

    การผูกเวร หมายถึง *การถือโกรธ หรือการสร้างความเป็นศัตรู* ระหว่างกัน. เรื่องราวในผันทชาดกที่นำมาแสดงนั้น เป็นการกล่าวถึง *การผูกเวรของหมีและไม้ตะค้อ**.การผูกเวรเริ่มต้นขึ้นเมื่อหมีตัวหนึ่งนอนอยู่ที่โคนต้นตะค้อ แล้วกิ่งแห้งของต้นไม้ได้ตกลงมาถูกคอของหมีโดยบังเอิญ. หมีตกใจและเข้าใจผิดคิดว่าเทวดาที่สิงสถิตอยู่ที่ต้นไม้นั้นไม่ต้องการให้ตนนอนอยู่ที่นั่น. หมีจึงเกิดความโกรธและ **ผูกโกรธในที่ที่ไม่ใช่ฐานะ* และประกาศว่าจะให้คนมาขุดโค่นต้นตะค้อทั้งรากทั้งต้นเพื่อแก้แค้น. เมื่อรุกขเทวดา (เทวดาผู้สิงอยู่ ณ ต้นตะค้อ) ทราบถึงความอาฆาตของหมี และเห็นว่าหมีกำลังจะทำลายวิมานของตน (คือต้นไม้) เทวดาก็คิดว่าต้อง *ล้างผลาญหมีตัวนี้ด้วยอุบายอย่างหนึ่งให้ได้**. นี่คือการที่เทวดาผูกเวรตอบ. รุกขเทวดาจึงแปลงกายไปหลอกช่างไม้ที่กำลังหาไม้ทำรถ โดยแนะนำให้ช่างไม้ใช้เล่ห์กลลวงหมีมา เพื่อลอกเอาหนังที่คอของหมีประมาณ 4 นิ้วไปหุ้มกงล้อรถ ซึ่งจะทำให้กงล้อแข็งแรง. ด้วยอุบายนี้เอง รุกขเทวดาจึง **จองเวรสำเร็จ* โดยเป็นเหตุให้ช่างไม้สามารถฆ่าหมีได้. พระศาสดาทรงสรุปถึงผลของการผูกเวรในเรื่องนี้ว่า *ไม้ตะค้อฆ่าหมี และหมีก็ฆ่าไม้ตะค้อ ต่างก็ฆ่ากันและกันด้วยการวิวาทกัน* ด้วยประการฉะนี้. และทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงเพื่อเตือนภิกษุทั้งหลายให้ *อย่าวิวาทกัน อย่าเป็นทางหนีและไม้ตะค้อ* (หมายถึงการเป็นศัตรูที่ทำลายล้างกัน). ดังนั้น การผูกเวรสามารถเกิดขึ้นได้จากความเข้าใจผิดและอารมณ์โกรธในเรื่องที่ไม่สมควร และนำไปสู่การแก้แค้นและการทำลายล้างซึ่งกันและกันในที่สุด.
     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,535
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,090
    กปิลมัจฉา l "ปลาชื่อ กปิละ" ปลาปากเหม็นเพราะด่าผู้มีศีล #พระพุทธเจ้า #พระไตรปิฏก #คนตื่นธรรม

    อาจารย์ธนากร ปุสวงศ์
    Jun 1, 2025

    เรื่องราวของ *พระกปิละ* ซึ่งเป็นภิกษุในสมัยพระพุทธเจ้ากัสสปะ โดยท่านได้ศึกษาพระไตรปิฎกจนเชี่ยวชาญแต่กลับถูก *ตัณหา* เข้าครอบงำ ทำให้พูดจาดูถูกภิกษุผู้มีศีล และยังปฏิเสธการสวดพระปาติโมกข์ ส่งผลให้เกิดใน *อเวจีมหานรก* หลังจากนั้นได้มาเกิดเป็น *ปลาสีทองแต่ปากเหม็น* ซึ่งเป็นการแสดงผลของกรรมที่ได้กระทำไว้ ทั้งยังกล่าวถึงผลของ *ตัณหา* ที่นำพาไปสู่ภพภูมิต่างๆ และการที่บุคคลจะหลุดพ้นได้ด้วยการละ *ตัณหา* นั้นเอง.
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,535
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,090
    จันทกินนรชาดก l ชาดก "ว่าด้วยความจงรักภักดี" #พระพุทธเจ้า #พระไตรปิฏก #ชาดกสอนใจ #นิทานธรรมะ

    อาจารย์ธนากร ปุสวงศ์
    Jun 26, 2025

    ในชาดกเรื่อง *จันทกินรี* นี้ *พระศาสดา* ทรงเล่าเรื่องเพื่อแสดง *ความจงรักภักดีที่ไม่เปลี่ยนแปลง* ของพระมารดาพระราหุล โดยย้อนไปในอดีตกาลสมัย *พระเจ้าพรหมทัต* พระโพธิสัตว์ได้ถือกำเนิดเป็น *จันทกินนร* อาศัยอยู่กับ *จันทา* ผู้เป็นภรรยาบนเขา *จันทบรรพต* ชาดกกล่าวถึงเหตุการณ์ที่ *พระราชา* ได้ทรงกระทำบาปด้วยการยิง *จันทกินนร* เพราะลุ่มหลงใน *จันทา* อย่างไรก็ตาม *ความรักที่มั่นคง* ของจันทาที่มีต่อสามี ทำให้เธอสามารถขอให้ *ท้าวสักกะ* ช่วยชีวิตสามีให้ฟื้นคืนได้สำเร็จ โดยเหตุการณ์นี้ยังถูกตีความว่าเป็นการเชื่อมโยงบทบาทในอดีตกับตัวละครในปัจจุบันอีกด้วย. พระพุทธเจ้าเมื่อประทับอยู่ที่กรุงกบิลพัสดุ์ ทรงรำลึกถึงพระนางยโสธรา (มารดาของพระราหุล) ผู้มีความจงรักภักดีมั่นคงไม่เสื่อมคลายแม้พระพุทธเจ้าจะออกผนวช ทรงเล่าเรื่องอดีตชาติ คือ "จันทกินนรชาดก" เพื่อแสดงถึงความรักมั่นคงในชาติปางก่อน เนื้อเรื่องในอดีตชาติ: พระโพธิสัตว์เกิดเป็น “จันทกินนร” อาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์กับภรรยาชื่อ “จันทา” อย่างสงบสุข พระราชาแห่งเมืองพาราณสีทรงออกผนวช เดินป่าลึกและได้เห็นจันทกินนรกับจันทารำฟ้อนร้องเพลงกันอย่างสุขสันต์ พระราชาเกิดความหลงรักจันทา จึงยิงจันทกินนร หวังจะได้ตัวจันทาไป จันทกินนรบาดเจ็บสาหัส ร่ำไห้กล่าวคำอาลัยรักต่อภรรยา 4 คาถา ก่อนจะหมดสติ จันทาร่ำไห้เสียใจ กล่าวคำสาปแช่งพระราชา 5 คาถา และไม่ยอมเป็นมเหสีของพระราชา พระราชาถูกปฏิเสธอย่างเด็ดขาด จึงตัดใจจากไป นางจันทานำร่างสามีกลับไปกอดบนยอดเขา ร่ำไห้ถึงความหลัง 12 คาถา ด้วยแรงอธิษฐานและความรักมั่นคงนั้น ทำให้ “ท้าวสักกะ” (พระอินทร์) ปรากฏกายมาโปรด รักษาจันทกินนรให้หายดี ทั้งสองได้อยู่ร่วมกันต่อในป่าอย่างเป็นสุข พระพุทธเจ้าทรงสรุปว่า: นางจันทาคือพระนางยโสธราในชาตินี้ ผู้ซื่อสัตย์รักมั่นในพระองค์แม้ข้ามชาติ
    ใจความสำคัญ: “แม้ชาติเป็นสัตว์ ก็ยังรักมั่นในคู่ครอง ไม่เอาใจออกห่าง ไม่แยแสผู้ใดอื่น” เป็นตัวอย่างของ ความจงรักภักดี ความรักที่ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค ซึ่งเป็นธรรมะสอนใจทั้งฆราวาสและนักบวช
     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,535
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,090
    สิริคุตต์ l กัลยาณมิตรของครหทินน์ #พระไตรปิฏก #คนตื่นธรรม #พระพุทธเจ้า

    อาจารย์ธนากร ปุสวงศ์
    Apr 30, 2025

    เรื่องราวของ สิริคุตต์ ผู้เป็นอุบาสกที่นับถือพระรัตนตรัย และ คหทินน์ เพื่อนผู้เป็นนิครนถ์ซึ่งพยายามชักชวนสิริคุตต์ให้หันมานับถือพวกตน คหทินน์ อ้างว่าพระศาสดาของตนนับถือรู้อดีต อนาคต และปัจจุบันทั้งหมด แต่สิริคุตต์ได้ทดสอบโดยการวางแผนหลุมพรางซึ่งพวกนิครนถ์ตกลงไปหมด พิสูจน์ว่าพวกเขามิได้รู้ทุกสิ่งตามที่อ้าง เมื่อเรื่องถึงพระราชา คหทินถูกปรับไหม ต่อมาคหทินพยายามแก้แค้นโดยวางกับดักเช่นเดียวกันเพื่อพระพุทธเจ้าและภิกษุ แต่พระพุทธเจ้าทรงเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าและแสดงปาฏิหาริย์เหยียบดอกบัวข้ามหลุมไป ทำให้คหทินได้เห็นอานุภาพของพระพุทธเจ้าและเกิดศรัทธา ในที่สุด สิริคุตต์ และ คหทิน ได้บรรลุธรรมหลังจากฟังพระพุทธเจ้าแสดงธรรม.
     
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,535
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,090
    โกสิยเศรษฐี l "เศรษฐีขนมเบื้อง" #พระมหาโมคคัลลานะ #พระอรหันต์ #คนตื่นธรรม #พระพุทธเจ้า

    อาจารย์ธนากร ปุสวงศ์
    Apr 29, 2025

    เรื่องราวของ *โกสิย เศรษฐี ผู้มีทรัพย์สินมากมาย แต่กลับเป็นคน **ตระหนี่ถี่เหนียวอย่างยิ่ง* ซึ่งความตระหนี่ของเขานั้นปรากฏชัดเจนแม้แต่กับตัวเองและคนใกล้ชิด เรื่องราวได้กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เศรษฐีอยากกิน *ขนมเบื้อง* แต่กลับไม่กล้าบอกใครเพราะกลัวเสียเงิน จนกระทั่ง *พระพุทธเจ้าทรงทราบถึงอุปนิสัย* ของเศรษฐีและภรรยา จึงทรงส่ง *พระมหาโมคคัลลานะ* ไปโปรด และด้วยฤทธิ์ของพระเถระ รวมถึงอานิสงส์จากการถวายขนมและปัจจัยต่างๆ แด่พระพุทธเจ้าและพระภิกษุสงฆ์ ทำให้ *เศรษฐีและภรรยาบรรลุโสดาบัน* และได้ *บริจาคทรัพย์สมบัติทั้งหมด* ในพระพุทธศาสนา
     
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,535
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,090
    08-อังคุลิมาลสูตร พระองค์คุลิมาลเถระ | #เปิดพระไตรปิฎก

    พระมหาสมเกียรติ ญาณสุทฺโธ
    Apr 21, 2025

    08-อังคุลิมาลสูตร พระองค์คุลิมาลเถระ |
    #เปิดพระไตรปิฎก
    อหิงสกะ เป็นบุตรของ ปุโรหิต คัคคะ และ นางมันตานี ได้รับการสั่งสอนที่ผิดจากอาจารย์ทำให้ต้องกลายเป็นโจรฆ่าคน แล้วตัดนิ้วมาคลองเป็นมาลัย จึงได้ชื่อว่า องคุลิมาล จนวันหนึ่งได้พบพระพุทธเจ้า จึงได้กลับใจบวชเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา และบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์
    ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ https://84000.org/ พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
     
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,535
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,090
    รวมประวัติ 3 พระอรหันต์ที่คนเชื่อว่าหนุนนำด้านโชคลาภ

    เผือก สีขาว
    Jul 1, 2025
     
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,535
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,090
    นางขุชชุตตรา l ฆราวาสสอนธรรม l เอตทัคคะในฝ่ายผู้แสดงธรรม #พระพุทธเจ้า #คนตื่นธรรม

    อาจารย์ธนากร ปุสวงศ์
    Dec 6, 2024

    นางขุชชุตตรา เป็นลูกสาวของหญิงแม่นมในเรือนโฆสกเศรษฐี ในกรุงโกสัมพี เป็น หญิงพิการหลังค่อม ต่อมาเมื่อโฆสกเศรษฐีได้ยกนางสามาวดีผู้เป็นหญิงกำพร้าให้อยู่ในฐานะเป็นธิดาของตนแล้ว ได้มอบหญิง ๕๐๐ คน ให้เป็นบริวารของนางอีกด้วย และนางขุชชุตตราก็ได้เป็นบริวารของนางด้วยเช่นกันเมื่อนางสามาวดีได้รับการอภิเษกเป็นมเหสีของพระเจ้าอุเทนแห่งเมืองโกสัมพี หญิงบริวารทั้งหมดก็ติดตามเข้าไปรับใช้นางในพระราชนิเวศน์ด้วย และพระเจ้าอุเทนได้พระราชทานทรัพย์ ๘ กหาปณะ แก่นางขุชชุตตรา เพื่อจัดซื้อดอกไม้ให้แก่นางสามาวดีทุกวัน โฆสกเศรษฐีสร้างวัดถวาย ในกรุงโกสัมพีนั้นมีเศรษฐี ๓ คน คือ โฆสกเศรษฐี กุกกุฎเศรษฐี และ ปาวาริกเศรษฐี ทั้ง ๓ ท่านนี้เป็นสหายกันต่างก็มีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาได้ฟังพระธรรมเทศนาจนได้บรรลุเป็นพระโสดาบันด้วยกัน และได้สร้างวัดขึ้นท่านละหนึ่งวัด โดยของ โฆสกเศรษฐีชื่อว่าโฆสิตาราม ของกุกกุฏเศรษฐี ชื่อว่า กุกกฏาราม และของปาวาริกเศรษฐีชื่อว่า ปาวาริการามเศรษฐีทั้ง ๓ ท่านนี้มีคนรับใช้ชื่อนายสุมนะเป็นผู้จัดการตกแต่งสวนดอกไม้ เนื่องจากเขามีความฉลาดความสามารถในด้านนี้ จึงได้ชื่อว่า “สุมนมาลาการ” แม้นางขุชชุตตราก็มาซื้อดอกไม้จากนายสุมนะนี้ทุกวัน นางขุชชุตตราบรรลุโสดาบัน ครั้งหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จมายังเมืองโกสัมพี โดยมีพระอานนท์เถระ เป็นปัจฉา สมณะตามเสด็จมาด้วย พระพุทธองค์ประทับ ณ อารามของเศรษฐีทั้ง ๓ ท่านและเสด็จเข้าไปเสวยภัตตาหารที่บ้านของเศรษฐีทั้ง ๓ ท่านนั้นโดยผลัดเปลี่ยนไปตามวาระ ตามที่ท่านเศรษฐีได้กราบทูลอาราธนา วันหนึ่ง นายสุมนะขอโอกาสแก่ท่านเศรษฐีเพื่อกราบทูลอาราธนาพระบรมศาสดาเสด็จไปเสวยภัตตาหารที่บ้านของตน เมื่อเศรษฐีอนุญาตให้สมประสงค์แล้ว จึงจัดการตกแต่งเสนาสนะและภัตตาหาร ขณะที่เขากำลังจัดเตรียมการอยู่นั้น นางขุชชุตตราก็มาถึง นายสุมนะ กล่าวกับเธอว่า “วันนี้ขอให้รออยู่ก่อน เพราะตนได้กราบทูลอาราธนาพระบรมศาสดามาเสวย ภัตตาหารที่บ้าน และขอให้นางช่วยเหลือในการจัดภัตตาหารด้วย เมื่อเสร็จแล้วจึงค่อยรับดอกไม้ไป” ซึ่งนางขุชชุตตรา ก็ตอบรับด้วยความยินดีเมื่อเสร็จภัตกิจแล้ว พระบรมศาสดาทรงแสดงพระธรรมเทศนาอนุโมทนานางขุชชุตตราก็ได้มีโอกาสฟังธรรมเทศนานี้ด้วย นางส่งกระแสจิตไปตามพระธรรมเทศนา เมื่อจบลงก็ได้บรรลุโสดาปัตติผล ตามปกติในวันอื่น ๆ ที่แล้วมา นางขุชชุตตรา จะซื้อดอกไม้เพียง ๔ กหาปณะ และเก็บเอาไว้เอง ๔ กหาปณะ แต่วันนี้นางซื้อดอกไม้ทั้ง ๘ กหาปณะ นางสามาวดีเห็นว่าวันนี้ได้ดอกไม้มากกว่าทุก ๆ วัน จึงถามนางขุชชุตตรา ขึ้นว่า “ทำไมวันนี้จึงได้ดอกไม้มากกว่าปกติ” นางขุชชุตตรา ได้บอกตามความเป็นจริงว่า “เมื่อก่อนนั้นได้ยักยอกเงินไว้เพื่อตนเองครึ่งหนึ่ง แต่วันนี้หลังจากได้ฟังพระธรรมเทศนาจากพระบรมศาสดาจนบรรลุอมตธรรมแล้ว เห็นว่าการกระทำอย่างนั้นไม่ควร จึงได้ซื้อดอกไม้ทั้ง ๘ กหาปณะ”
     
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,535
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,090
    สุพรหมเทพบุตร l "รู้ว่าจะไปนรก เข้าหาพุทธะ ปิดอบาย" #พุทธวจน #พระพุทธเจ้า #พระไตรปิฏก #นิทานชาดก

    อาจารย์ธนากร ปุสวงศ์
    Jul 2, 2025

    เรื่องราวของเทพบุตรสุพรหมในสวรรค์ดาวดึงส์ที่ได้ประสบกับเหตุการณ์ที่นางฟ้าบริวารสิ้นชีวิตกะทันหันขณะเที่ยวเล่นในสวนนันทวัน ด้วยความตกใจและตระหนักว่าตนเองก็กำลังจะจุติไปสู่อเวจีมหานรกในอีกไม่ช้า สุพรหมเทพบุตรจึงเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อขอคำแนะนำในการพ้นจากความกลัวและความทุกข์ พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเทศนาว่าด้วยปัญญา ความเพียร การสำรวมอินทรีย์ และการสละทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อนำไปสู่การหลุดพ้น ซึ่งเทพบุตรสุพรหมได้บรรลุโสดาปัตติผลในท้ายที่สุด ธรรมเทศนานี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเจริญโพชฌงค์และวิปัสสนาเพื่อเข้าถึงพระนิพพาน.
     
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,535
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,090
    หลวงปู่ชา ผู้ถือธุดงค์เดี่ยว

    หลวงตา
    Dec 6, 2023
     
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,535
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,090
    อาจารย์ยอด : หลวงพ่อแดง เทพเจ้าเขาบันไดอิฐ [พระ] new

    อาจารย์ยอด
    May 28, 2020
     
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,535
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,090
    ประวัติหลวงพ่อแดง เทพเจ้าเขาบันไดอิฐ
    250px-%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%87.jpg
    ชื่ออื่น หลวงพ่อแดง
    ส่วนบุคคล
    เกิด 17 กันยายน พ.ศ. 2422 (95 ปี)
    มรณภาพ 16 มกราคม พ.ศ. 2517
    ศาสนา พุทธ
    ตำแหน่งชั้นสูง
    ที่อยู่ วัดเขาบันไดอิฐ เพชรบุรี
    อุปสมบท 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2444
    พรรษา 75→
    ตำแหน่ง อดีตเจ้าอาวาสวัดเขาบันไดอิฐ
    พระครูญาณวิลาศ เกิดเมื่อวันวันพุธ ขึ้น 2 ค่ำ เดือน 11 ปีเถาะ จ.ศ. 1241 ตรงกับวันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2422 ณ ตำบลบางจาก อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี[1] เป็นบุตรคนที่ 5 ของนายแป้น กับนางนุ่ม อ้นแสง มีพี่น้องร่วมบิดา-มารดารวมทั้งสิ้น 9 คน ได้แก่




      • นางเยีย อ้นแสง
      • นางเตี้ย อ้นแสง (มนต์ชู)
      • นางเจ็ก อ้นแสง (ทับสี)
      • นางสาวเปรม อ้นแสง
      • พระครูญาณวิลาศ (แดง รตฺโต)
      • นางเทียบ อ้นแสง (ทับสี)
      • พระครูปัญญาโชติวัฒน์ (เจริญ ธมฺมโชติ)
      • นางเล็ก อ้นแสง
      • นางน้อย อ้นแสง (เกิดประดับ)
    พระครูญาณวิลาศมรณภาพเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2517 เวลา 21.05 น. สิริอายุ 96 ปี[2][3]

    อุปสมบท

    ในวัยเยาว์ท่านช่วยพ่อแม่ทำไร่ ทำนา ไม่มีโอกาสร่ำเรียนหนังสืออย่างเด็กสมัยนี้จนกระทั่งอายุ 20 ปี พ่อแม่ก็หวังจะให้บวชเรียน จึงพาไปฝากกับเจ้าอธิการเปลี่ยน วัดเขาบันไดอิฐ เพื่อจะได้เล่าเรียน และบวชเป็นพระภิกษุเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2444 เวลา 15.13 น. โดยมีพระครูญาณวิสุทธิ (พ่วง) วัดแก่นเหล็ก เป็นพระอุปัชฌาย์ เจ้าอธิการเปลี่ยน วัดเขาบันไดอิฐ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการอ่ำ วัดทองนพคุณ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับนามฉายาว่า "รตฺโต" แปลว่า"สีแดง"

    ศึกษาธรรม[4]
    หลังจากบวชเป็นพระภิกษุแล้ว เจ้าอธิการเปลี่ยนจึงได้สอนวิชาการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานให้ นอกจากเจ้าอธิการเปลี่ยนผู้สอนแล้ว หลวงพ่อแดงยังมีพระอาจารย์ผู้สอนพุทธาคมให้อีก 2 รูป นั่นคือพระสุวรรณมุนี (ฉุย สุโข) วัดคงคาราม จ.เพชรบุรี และหลวงพ่อแช่ม อินฺทโชโต วัดตาก้อง จ.นครปฐม ซึ่งมาร่วมนั่งวิปัสสนากรรมฐานกับเจ้าอธิการเปลี่ยนในถ้ำที่วัดเขาบันไดอิฐ อยู่เป็นประจำ ทำให้หลวงพ่อแดงได้ฝากตัวเรียนวิทยาคมกับท่านทั้งสองด้วย เรื่องดังกล่าวนี้มีหลักฐานยืนยัน เพราะ ดร. สุเมธ ตันติเวชกุล ศิษย์ผู้หนึ่งของหลวงพ่อแดงเคยเล่าไว้ในบทความว่า หลวงพ่อแดงท่านเคารพพระเถระสองรูปนี้มาก โดยหลวงพ่อแดงจะพกเหรียญอาจารย์ของท่านไว้ในย่ามเสมอ

    ชีวิตสมณะ
    หลวงพ่อแดงเป็นพระที่ประพฤติเคร่งครัดต่อพระวินัย สมถะไม่ชอบความยุ่งยากจากพิธีการ และไม่ชอบความสิ้นเปลืองจนเกินพระวินัย ท่านมักจะสอนศิษยานุศิษย์ของท่านให้มีความกตัญญู ซื่อสัตย์สุจริต โดยเปรียบเทียบกับตัวท่านเองว่า “อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ ยังได้เป็นเจ้าอาวาสวัดเขาบันไดอิฐ เพราะฉะนั้น! ขอให้ถือความสุจริต และทำคุณประโยชน์ของเราให้เด่นชัด ความดี ความชอบ จะนำมาซึ่งทุกอย่าง” แม้หลวงพ่อแดงจะไม่ได้เรียนหนังสือ แต่ท่านมีความวิริยะอุตสาหะในการสั่งสอน และปกครองคณะสงฆ์ หลวงพ่อแดงเป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดเขาบันไดอิฐ เพื่อให้พระภิกษุสามเณรในเขตปกครองได้ศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรม ท่านเคยปรารภไว้ว่า “ฉันอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ จึงอยากให้พระเณรได้เล่าเรียน” หลวงพ่อแดงมีชื่อเสียงในทางสอนวิปัสสนากรรมฐานแก่พระภิกษุสามเณรตลอดจนอุบาสกอุบาสิกา โดยพระภิกษุทั้งในและนอกอารามให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก และในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2502 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรที่ พระครูญาณวิลาศ[5]

    สมณศักดิ์

    มรณภาพ
    หลวงพ่อแดงมรณภาพด้วยโรคชรา เมื่อวันพุธ แรม 8 ค่ำ เดือน 2 ปีฉลู ตรงกับวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2517 สิริอายุ 95 ปี พรรษาที่ 73 ก่อนมรณภาพท่านเคยพูดกับพระปลัดบุญส่ง ธัมมปาโล รองเจ้าอาวาสวัดขณะนั้นว่า “เมื่อฉันหมดลมหายใจแล้วอย่าเผา ให้เก็บร่างฉันไว้ที่หอสวดมนต์ และให้เอาเหรียญที่ปลุกเสกรุ่น 1 ใส่ปากไว้พร้อมเงินพดด้วง 1 ก้อน ส่วนนี้ฉันเอาไปได้และให้เอาขมิ้นมาทาตัวฉันให้เหลืองเหมือนทองคำ” พระบุญส่งจึงรับปาก และได้ทำตามที่หลวงพ่อประสงค์ทุกอย่าง

    ปัจจุบันสรีระของท่านยังประดิษฐานอยู่ในหีบประดับมุกซึ่งตั้งอยู่ที่หอสวดมนต์วัดเขาบันไดอิฐ โดยประชาชนสามารถกราบนมัสการได้ทุกวันตั้งแต่เวลา 8.00-17.00 น.
    :- https://th.wikipedia.org/wiki/พระครูญาณวิลาศ_(แดง_รตฺโต)
     

แชร์หน้านี้

Loading...